เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยืนยัน กาแฟผสมโสม ดื่มแล้วไม่ทำให้ปัสสาวะเป็นสีม่วง เหตุเพราะสารคาเฟอีนและสารตั้งต้นยาเสพติดเป็นคนละชนิดกัน ขณะนี้รู้ตัวผู้ปล่อยข่าวแล้ว เตรียมลุยเอาผิดตามกฎหมาย
วันนี้ (12 ธันวาคม พ.ศ. 2557) เว็บไซต์เดลินิวส์ออนไลน์ ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับกระแสข่าวที่ว่า กาแฟผสมโสมยี่ห้อหนึ่งเมื่อดื่มแล้วจะทำให้พบสารเสพติดในปัสสาวะว่า จากการติดต่อสอบถามไปยังนายชาญชัย เอื้อชัยกุล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้คำตอบว่า สารคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟนั้น เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ ซึ่งเป็นสารกระตุ้นประสาทตามธรรมชาติ และไม่มีความเหมือนหรือใกล้เคียงกับสารแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นจากสารตั้งต้น 14 ชนิด ได้แก่ ซูโดอีเฟดรีน อีฟีดรีน อะซีโตน เอทิลอีเทอร์ กรดเกลือ กรดกำมะถัน กรดฟีนิลแอซีติก และโทลูอีน ส่วน ยาไอซ์ ก็คือ ยาบ้า หรือเมทแอมเฟตามีน ในรูปแบบสารบริสุทธิ์นั่นเอง
นอกจากนี้ชุดตรวจสารเสพติดก็มีความสามารถในการแยกสารเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำและมีความน่าเชื่อถือสูง จึงไม่ต้องกังวลหากมีการตรวจพบสารเสพติดในปัสสาวะ เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องนำผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการมายืนยันอีกครั้งหนึ่งก่อนจะสั่งดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป
ส่วนทางด้านนายณกฤช สิริศุภกฤตกุล เภสัชกร บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยืนยันว่า กาแฟปรุงสำเร็จรูปชนิดผงผสมโสม coffee plus ที่กำลังตกเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ เป็นการแฟเพื่อสุขภาพ โดยส่วนผสมของกาแฟก็ประกอบด้วย กาแฟโรบัสต้า โสม และครีมเทียมสกัดจากพืช มีสารคาเฟอีนเพียง 0.1 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ต่างจากกาแฟทั่วไปที่มีปริมาณคาเฟอีนสูงถึง 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งโสมที่มีสารจินเซนโนไซด์ (Ginsenoside) จากธรรมชาติ กาแฟยี่ห้อนี้จึงคล้ายคลึงกับกาแฟผสมโสมยี่ห้ออื่น ๆ ทั่วโลก และนอกจากนี้ขั้นตอนในการผลิตยังเป็นไปตามหลักสากล ผ่านการรับรอง GMP และได้รับเครื่องหมาย อย. อย่างถูกต้อง จึงเป็นไปไม่ได้ว่ากาแฟนผสมโสมชนิดนี้จะมีส่วนผสมของสารตั้งต้นยาเสพติดปะเภทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า
ทั้งนี้ทางบริษัทยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากทราบข่าว บริษัทก็ได้มีการทดสอบและเผยแพร่ผลการทดสอบออกไปเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า พร้อมกับสืบหาผู้ปล่อยข่าวลวงดังกล่าว โดยในขณะนี้ทราบแล้วว่าเป็นใคร และได้ดำเนินการเอาผิดกับผู้ปล่อยภาพแลข้อความดังกล่าวกับทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ 2550 และยังสร้างความเสียหายให้บริษัทอีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
