x close

Ketogenic Diet สูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ ดีจริงหรือ ?

              คีโตเจนิกไดเอต (Ketogenic Diet) คือสูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ เพื่อเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย แต่สูตรไดเอตนี้จะเวิร์กสำหรับเราจริงหรือไม่ มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง ต้องลองอ่านกันจ้า   
 
คีโตจีนิก

            การไดเอตก็เหมือนรสนิยมส่วนตัวอย่างหนึ่งของสาว ๆ ที่แต่ละคนมักจะมีทิปส์เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป แต่มีเป้าหมายเหมือนกันตรงที่ไขมันส่วนเกินต้องหายไป น้ำหนักตัวต้องลดลง ซึ่งหนึ่งในสูตรลดน้ำหนักที่หลายคนสนใจก็คือ คีโตเจนิกไดเอต หรือสูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ แต่สูตรนี้ต้องทำอย่างไรบ้าง ลองอ่านทำความเข้าใจกันก่อน
 
คีโตเจนิกไดเอต (Ketogenic Diet) คืออะไร  

            คีโตเจนิกไดเอต คือ การลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต หรืออาหารประเภทแป้งและน้ำตาลให้น้อยที่สุด เน้นกินอาหารประเภทไขมันดีให้ได้ร้อยละ 75-80 ควบคู่ไปกับอาหารหมู่โปรตีน เพื่อปรับการทำงานของระบบเผาผลาญพลังงาน ถือเป็นการปรับให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะเลียนแบบการอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล สูตรไดเอตนี้ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู แต่ในปัจจุบันนี้สูตรลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิกไดเอตนี้ก็ได้กลายเป็นที่นิยมของนักเล่นกล้ามด้วย

สูตรไดเอตแบบคีโตเจนิก ให้ผลกับร่างกายอย่างไร

          สูตรการไดเอตแบบคีโตเจนิก จะทำให้ร่างกายดึงเอาไขมันที่สะสมไว้ไปเผาผลาญเป็นพลังงานแทนการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน และเมื่อร่างกายเกิดการดึงไขมันส่วนเกินไปใช้เผาผลาญแทนน้ำตาล ตับก็จะไม่หลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาล ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพคีโตน (Ketone) หรือสภาวะเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาล ช่วยให้น้ำหนักตัวและไขมันส่วนเกินในร่างกายก็จะลดลงด้วย เราจึงรู้สึกว่าผอมลง
 
Ketogenic Diet สูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ สำหรับสาวอ้วนลงพุง

ลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต เวิร์กจริงไหมนะ

          สำหรับใครที่อยากลองลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ ไม่ควรทำติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำติดต่อกันประมาณ 14 วัน แล้วทำสลับกับการกินอาหารแบบโลว์คาร์บวิธีอื่น เพราะถ้าหากใช้สูตรไดเอตนี้เพียงอย่างเดียวติดต่อกันนานเกิน 6 เดือน จะทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่ดี เพราะร่างกายจะดึงเอาโปรตีนจากเนื้อเยื่อของตัวเราเองมาใช้ และมีปริมาณกรดยูริกในกระแสเลือดสูงที่สามารถพัฒนาเป็นโรคเกาต์ นิ่วในไตได้ อีกทั้งยังขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งอาจมีผลต่อสุขภาพในยามที่เราเจ็บป่วย ร่างกายเราจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าปกติ    

          อย่างไรก็ตาม ก่อนที่สาว ๆ จะลองนำสูตรคีโตเจนิค ไดเอต ไปใช้ลดน้ำหนักนั้น ควรจะรู้ถึงกระบวนการปรับตัวของร่างกายที่มีต่อสูตรลดน้ำหนักนี้เอาไว้บ้าง นั่นคือ เมื่อเราอดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตได้ระยะหนึ่งแล้ว ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงปรับตัว ผลคือ ร่างกายจะไม่มีแรง รู้สึกอ่อนเพลียง่าย และเนื่องจากร่างกายเผาผลาญกรดไขมันเป็นพลังงาน ทำให้มีสารเคมีที่เรียกว่า คีโตน (Ketone) ในร่างกายมาก จึงเกิดการถ่ายทอดออกมาผ่านรูขุมขนและลมหายใจได้ เราอาจรู้สึกตัวเองว่าลมหายใจเหม็น 

          ทั้งนี้ การลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิก อาจทำให้น้ำหนักลดลงได้ในช่วงแรก แต่หลังหยุดกินคีโตแล้ว อาจเกิดโยโย่เอฟเฟกต์กลับมาได้เช่นกัน
 
สูตรคีโตเจนิกไดเอต ต้องกินอะไรบ้าง

          อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่าคีโตเจนิกไดเอต คือ การงดกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล  และเน้นกินอาหารหมู่โปรตีนและไขมัน ซึ่งอาหารหมู่ไขมันนี่แหละที่อาจทำให้สุขภาพของเราแย่ลงได้ เพราะไขมันบางชนิดก็เป็นตัวการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้อย่างจริงจัง เราก็ควรเข้าใจกับหลักการ 3 ข้อง่าย ๆ ของสูตรคีโตเจนิกไดเอตกันก่อนดีกว่า
 
          - ลดปริมาณอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต โดยการคุมปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตให้เหลือวันละ 25-50 กรัมต่อวัน
 
          - เน้นกินโปรตีน โปรตีนจะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสเพื่อให้ร่างกายนำไปเผาผลาญเป็นพลังงาน 
 
          - เน้นกินไขมันชนิดดี สารอาหารประเภทไขมันจะทำให้ร่างกายเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น โดยการกินไขมันให้ได้เฉลี่ยวันละร้อยละ 70-80 จากอาหารที่มีกรดไขมันสายปานกลาง (MCT oil)

คีโตจีนิก

อาหารที่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักสูตรคีโตเจนิกไดเอต
 
          หากหลักการลดน้ำหนักของสูตรคีโตเจนิกไดเอต ทำให้ใครยังนึกไม่ออกว่า การลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ควรเน้นกินอาหารแบบไหน เราก็มีตัวอย่างอาหารมาแนะนำ ดังนี้

- อาหารหมู่ไขมัน

          อาหารประเภทไขมันที่ดีต่อการลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ได้แก่ อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้าทรี และกรดไขมันโอเมก้า 6 และกรดไขมันอิ่มตัวที่มีสายปานกลาง เช่น เนย ไข่แดง ไวลด์แซลมอน ปลาทูน่า ปลาเทราต์ หอย รวมถึงธัญพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวด้วย ได้แก่ ถั่วแมคคาเดเมีย อะโวคาโด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดลินิน และน้ำมันดอกคำฝอย ซึ่งน้ำมันทุกชนิดควรเลือกกินแบบสกัดเย็น เป็นต้น แต่ควรหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ เช่น มาการีน
 
- อาหารหมู่โปรตีน

          อาหารหมู่โปรตีนที่แนะนำคือ ไข่ไก่  ชีส ครีม วิปปิ้งครีม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และ ปลาที่กินได้ทั้งตัว เช่น ปลาดุก ปลาค็อด ปลาตาเดียว ปลาแมกเคอเรล ปลามาฮิ-มาฮิ ปลาแซลมอน ปลากระพงแดง ปลาเทราต์ ปลาทูน่า เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อแพะ เนื้อลูกวัว เนื้อหมูสันนอก เนื้อหมูติดซี่โครง หรือ พอร์คชอป นอกจากนี้ยังรวมถึงอาหารประเภทถั่ว เช่น แมคคาเดเมีย วอลนัท อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พิตาชิโอส เป็นต้น หลีกเลี่ยงถั่วลิสง เพราะจัดอยู่ในถั่วที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง

- น้ำเปล่า  

         การไดเอตแบบคีโตเจนิกก็ยังคงต้องรักษาระดับความชุ่มชื้นในร่างกายด้วย โดยการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และยังสามารถดื่มเมนูอื่น ๆ ได้ เช่น ชาสมุนไพร กาแฟสูตรหวานน้อย เป็นต้น


น้ำตาล

7 ตัวการแฝงคาร์โบไฮเดรตที่ต้องระวัง

         แม้ว่าอาหารประเภทคาร์โบโฮเดรตส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของขนมปัง ข้าว แป้ง และน้ำตาล แต่ก็ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่จัดอยู่ในอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรตเช่นกัน จึงควรระวัง 7 สิ่งต่อไปนี้ด้วยเพราะมีส่วนประกอบหลักเป็นแป้งและน้ำตาลนั่นเอง

- สารให้ความหวาน

         สารให้ความหวานเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารกลุ่มน้ำตาลจะยิ่งทำให้เกิดอาการอยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มน้ำตาลสังเคราะห์ เช่น สตีเวีย ซูคราโรส อีรีทรีทอล (Erythritol) ไซลิทอล หล่อฮั้งก๊วย (Monk Fruit) และ สารอะเกฟ เนคทาร์(Agave Nectar) เป็นต้น ซึ่งสารให้ความหวานเหล่านี้อาจอยู่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มชื่นใจประเภทต่าง ๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลไม้อบแห้ง ขนมหวาน ผลิตภัณฑ์เบเกอรี และเมนูเครื่องดื่มอัดลม

- เครื่องปรุงรส และเครื่องเทศ

         เครื่องปรุงรสและเครื่องเทศส่วนใหญ่มีส่วนประกอบน้ำตาลในรูปของเดกซ์โทส รวมถึงส่วนประกอบของแป้งด้วย ซึ่งจัดอยู่ในประเภทของคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นหากจะเพิ่มลงในเมนูก็ควรระวังเรื่องปริมาณด้วย ได้แก่ เกลือสมุทร พริกไทยดำ ใบกะเพรา พริกป่น พริกชี้ฟ้า ผักชี ชินนามอน ขมิ้น ออริกาโน เพรสลี่ โรสแมรี เสจ ไธม์ ยี่หร่า  ผงหัวหอม ผงกระเทียม  ออลไสปซ์ (Allspice) ใบเบย์ (Bay Leaves) ขิง ลูกกระวาน น้ำจิ้มไก่ ซอสมะเขือเทศ และซอสพริก เป็นต้น

- ผลไม้ตระกูลเบอร์รี 

          ผลไม้ตระกูลเบอร์รีส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติสูง เช่น พวกพืชตระกูลเบอร์รี  ราสป์เบอร์รี บลูเบอร์รี และแครนเบอร์รี  ดังนั้นสำหรับคนที่คุมอาหารด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต ควรลดปริมาณการกินผลไม้ทุกชนิด

- ผลิตภัณฑ์นม

          ประเภทของนมที่ควรหลีกเลี่ยงคือ  นมสด (whole milk), นมขาดมันเนย (skim milk), นมไขมันต่ำ, นมโคแท้ 100%, นมพาสเจอร์ไรส์  น้ำเต้าหู้ เนื่องจากนมทั้งหลายนี้มีคาร์โบไฮเดรตสูง

- ปริมาณคาเฟอีนในชาและกาแฟ

          สำหรับคนที่ติดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โค้ก แต่อยากลดน้ำหนักด้วยวิธีคีโตเจนิกไดเอต เราขอแนะนำให้เลือกดื่มที่เป็นสูตร Caffeine free หรือ Non Caffeine เนื่องจากสารคาเฟอีนกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

- ผักสดที่มีรสชาติหวาน

          ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยผักที่มีรสหวานบางชนิด เช่น ข้าวโพดอ่อน มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง หรืออื่น ๆ ที่มีน้ำตาล

- ยาปฏิชีวนะ

          ยาปฏิชีวนะบางชนิดมีไซรัปทั้งชนิดผงและน้ำเป็นส่วนประกอบในตัวยาด้วย เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น   

5 ประโยชน์ เมื่อลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต

คีโตจีนิก 
 
          เมื่อเราลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอตแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้างนะ มาดูกันเลย    
  
ไม่หิวบ่อย

          การลดอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต เน้นกินอาหารหมู่โปรตีน จะช่วยให้เราอิ่มท้องนานขึ้น ทำให้เราไม่มีอาการอยากกินจุบจิบ
 
- ลดน้ำหนักง่ายขึ้น

          การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตช่วยให้ร่างกายของเราไม่มีภาวะบวมน้ำ เพราะระดับอินซูลินในร่างกายลดต่ำลง ไตสามารถขับโซเดียมออกจากร่างกายได้อย่างเป็นปกติ เราจึงรู้สึกว่ารูปร่างผอมเพรียวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก  
 
- มีระดับไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) น้อยลง

          เมื่อร่างกายดึงไขมันส่วนเกินไปเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้ไขมันในช่องท้องที่สะสมอยู่ในร่างกายเราถูกดึงไปใช้ด้วยเช่นกัน และจะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลของเราเป็นปกติด้วย
 
- มีระดับความดันโลหิตเป็นปกติ

          การลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทำให้ร่างกายเรามีการเผาผลาญน้ำตาลน้อยลงด้วย จึงส่งผลให้ร่างกายมีระดับความดันโลหิตเป็นปกติ  

- มีกระบวนการคิดและจดจำดีขึ้น  

          การลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตช่วยลดการสะสมของแป้งและน้ำตาลในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีระบบการไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ จึงสามารถลดความเสี่ยงเป็นโรคที่เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี เช่น โรคลมบ้าหมู โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบประสาทและสมองให้ดีขึ้นด้วย
 
Ketogenic Diet สูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ สำหรับสาวอ้วนลงพุง

คีโตเจนิกไดเอต กับการรักษาโรค

           สูตรลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิกไดเอต มีมานานกว่า 80 ปีแล้ว อดีตเคยเป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู ต่อมานักวิจัยได้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกต่อระบบประสาทและสมองด้วย จากรายงานการวิจัยของ European Journal of Clinical Nutrition เผยว่า ประโยชน์ของสูตรลดน้ำหนักแบบคีโตไดเอตนั้น สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิตผิดปกติต่าง ๆ ดังนี้ 

          - โรคลมบ้าหมู

          - โรคอ้วน และ โรคน้ำหนักตัวเกิน

          - โรคเบาหวานประเภท 2

          - โรคระบบทางเดินหายใจ

          - ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ คอเลสเตอรอล เพิ่มระดับไขมันดี (LDL) และลดการสะสมของพลัคในหลอดเลือด

          - โรคในระบบประสาทและสมอง เช่น โรคลมบ้าหมู โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคลมหลับ (Narcolepsy) ภาวะการกระทบกระเทือนทางสมอง (Brain Trauma) และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS)

          - แก้ปัญหาสิว

          - โรครังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS)

          - โรคมะเร็งบางชนิด เช่น โรคมะเร็งในสมอง

Ketogenic Diet สูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ สำหรับสาวอ้วนลงพุง
 
สูตรลดน้ำหนักคีโตเจนิกไดเอต ก็มีผลข้างเคียงต่อร่างกายนะ

          แน่นอนทีเดียวว่า เมื่อเราอดสารคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้ในระยะเวลาหนึ่งแล้ว ย่อมส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงานต่าง ๆ ในร่างกาย และจากข้อมูลในเว็บไซต์ Ketogenic-diet-resource.com  ก็ยังระบุเอาไว้ด้วยว่า หากเราลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต ร่างกายของเราย่อมได้รับผลข้างเคียงด้วยแน่นอน ดังนี้

- ปัสสาวะบ่อย

          ผลข้างเคียงนี้จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากวันแรกที่เริ่มทำ ร่างกายจะปวดปัสสาวะบ่อย เกิดจากการที่ร่างกายเกิดการเผาผลาญไกลโคเจนหรือกลูโคสที่ถูกสะสมไว้บริเวณตับและกล้ามเนื้อบ่อยขึ้น จากนั้นไตก็จะทำการขับออกมาให้อยู่ในรูปของปัสสาวะ เราจึงมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ

- อ่อนเพลีย มึนงง 

          เมื่อไรที่ร่างกายได้รับสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 60 กรัมต่อวัน จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย และมึนงง ทำให้เราต้องชดเชยด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ และการดื่มน้ำมากนี่เองที่ทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุสำคัญเช่น เกลือ โพแทสเซียม และแมกนีเซียมไปด้วย

- ปวดหัว

           เมื่อร่างกายเข้าสู่สภาวะคีโตซีสแล้ว เราอาจมีอาการปวดหัวเล็กน้อย หรือมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ เป็นเพราะร่างกายขาดแร่ธาตุบางชนิด 

- ความดันโลหิตต่ำ

           แม้มีข้อมูลว่า การกินคีโตจะช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติ แต่ถ้าอดอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป ร่างกายจะมีระดับความดันโลหิตต่ำ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายมาก เพราะอาจทำให้เราเป็นลม วูบ หรือหมดสติได้ง่าย

- ระบบขับถ่ายแปรปรวน

           สูตรลดน้ำหนักคีโตเจนิกไดเอต ทำให้ระบบขับถ่ายของร่างกายเราแปรปรวน อาจเกิดอาการท้องผูกจากการที่ได้รับไฟเบอร์ไม่เพียงพอในแต่ละวัน ในขณะเดียวกันก็สามารถเกิดอาการท้องเสียได้จากความผิดปกติของการดูดซึมสารอาหารในลำไส้
 
- อาการอยากน้ำตาล

           อาการอยากน้ำตาลจะเริ่มต้นขึ้นในช่วง 2-10 วัน หลังจากที่เราเริ่มลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ ซึ่งถ้าหากเรากินอะไรหวาน ๆ เพื่อชดเชยอาการที่เกิดขึ้น อาการอยากน้ำตาลก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

- กล้ามเนื้อเป็นตะคริวง่าย

          แม้ว่าสูตรลดน้ำหนักคีโตเจนิกไดเอต จะเน้นกินโปรตีนก็ตาม แต่ร่างกายก็สามารถมีอาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริวได้ โดยอาการนี้เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นบางชนิด เช่น แมกนีเซียม จึงส่งผลให้กล้ามมีอาการเนื้อหด เกร็งตัวได้ง่ายกว่าปกติ 

- นอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืน

       อาการนอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืนเป็นผลมาจากการที่ร่างกายมีอินซูลิน และสารเซโรโทนินในระดับต่ำ ทำให้เราหลับยาก ต้องใช้เวลานานกว่าจะรู้สึกง่วงนอน
           
- เสี่ยงเกิดภาวะนิ่วในไต

                การลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต มีผลให้การสะสมตัวของก้อนแคลเซียมในปัสสาวะอยู่ในระดับสูง  ทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อขับออกมาในรูปของของเสีย จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนิ่วในไต

- เกิดภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ T3   

            โดยปกติแล้วร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ T3 ออกมาเพื่อช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงานที่ต้องอาศัยสารคาร์โบไฮเดรต กับโปรตีน เมื่อร่างกายขาดสารคาร์โบไฮเดรตเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะส่งผลให้ฮอร์โมนไทรอยด์ T3 ถูกกระตุ้นสร้างน้อยลง ทำให้ร่างกายแสดงอาการผิดปกติออกมา ตั้งแต่ในระดับเล็กน้อยไปจนถึงขั้นเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ เช่น ชีพจรเต้นช้า ขี้หนาว ความจำสั้น ผิวพรรณแห้งซีด โรคคอพอก และโรคสมองเสื่อม เป็นต้น

ใครไม่ควรลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิก

           เนื่องจากสูตรลดน้ำหนักนี้ค่อนข้างสุดโต่ง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ ฯลฯ เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ ซึ่งเคยมีข่าวให้เห็นหลายเคสแล้วว่าการทานคีโตเพื่อลดน้ำหนักทำให้ร่างกายทรุดลง จนต้องเข้าโรงพยาบาล

            ขอย้ำว่าการลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิกเป็นเพียงอีกหนึ่งตัวเลือกในการไดเอตเท่านั้นนะคะ และไม่ได้เหมาะกับคนทุกเพศ ทุกวัย นอกจากนี้ในบางคนอาจกลับมาอ้วนได้อีกหากควบคุมอาหารแบบคีโตเจนิกอย่างเดียว แต่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย อีกทั้งการกินคีโตเป็นระยะเวลานานยังมีผลข้างเคียงต่อร่างกายพอสมควร ดังนั้น เราควรเลือกวิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัย และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจะดีกว่า ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา 


* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 มิถุนายน 2562


ขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Ketogenic Diet สูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ ดีจริงหรือ ? อัปเดตล่าสุด 21 มิถุนายน 2564 เวลา 17:19:05 517,257 อ่าน
TOP