ผงชูรสกลายเป็นเครื่องปรุงรสที่ร่างกายเราได้รับอยู่ทุกวี่วัน ทั้งจากอาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยวก็ตาม ซึ่งบางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกเนอะว่ากินผงชูรสไปมากเท่าไรแล้ว แต่เอ๊ะ...ที่ผ่านมามีคำเตือนให้เราได้ยินกันเสมอว่า "ผงชูรส" ถ้ากินมาก ๆ จะทำให้ผมร่วง ความจำแย่ สมองเสื่อม ฯลฯ
ฟังแล้วก็มีข้อสงสัยอยู่ในใจว่า ถ้าผงชูรสอันตรายขนาดนั้น ทำไมถึงยังมีการผลิตออกมาขายอยู่อีก งั้นลองมาไขข้อข้องใจเรื่องโทษของผงชูรสดูสักหน่อย
ฟังแล้วก็มีข้อสงสัยอยู่ในใจว่า ถ้าผงชูรสอันตรายขนาดนั้น ทำไมถึงยังมีการผลิตออกมาขายอยู่อีก งั้นลองมาไขข้อข้องใจเรื่องโทษของผงชูรสดูสักหน่อย
ผงชูรสเป็นผลึกสีขาว ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น โดยเริ่มแรก เมื่อปี พ.ศ. 2451 นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ได้สกัดกรดอะมิโนจากสาหร่ายทะเลคอมบุ และเขาได้ตั้งชื่อว่า สารกลูตามิก หรือสารสกัดผงชูรสที่ได้ว่า อูมามิ ก่อนจะผลิตขายเชิงพาณิชย์ในปีถัดมา ทั้งนี้ ผงชูรสมีชื่อทางเคมีว่า โมโนโซเดียม แอล กลูตาเมต โมโนไฮเดรต (Monosodium L glutamate monohydrate) หรือรู้จักกันในชื่อ โมโนโซเดียมกลูตาเมต
ผงชูรส ทำไมทำให้อาหารอร่อยขึ้น
ผงชูรสจะละลายไขมันในอาหารให้ผสมกลมกลืนกับน้ำ ทำให้มีรสเหมือนน้ำต้มเนื้อ และไปกระตุ้นปุ่มปลายประสาทของลิ้นกับคอ ส่งผลให้ลิ้นรับรสชาติอาหารได้ไว นาน ทำให้เรารู้สึกว่าอาหารที่ใส่ผงชูรสมีรสชาติกลมกล่อม หวานอร่อยกว่าปกติ
กินผงชูรส ผมร่วงจริงไหม
กินผงชูรสแล้วทำไมหิวน้ำ
กินผงชูรส เสี่ยงตาย ความจำแย่ ถึงขั้นนั้นไหม ?
ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ชี้ชัดว่า กินผงชูรสแล้วจะอันตรายถึงตาย หรือมีความเสี่ยงทำให้ความจำแย่ เพราะจริง ๆ แล้วผงชูรสก็เป็นเครื่องปรุงรสที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกว่าสามารถนำมาปรุงอาหารได้ อีกอย่างการที่คนเราจะกินผงชูรสแล้วตายก็ต้องกินผงชูรสในปริมาณมาก ๆ เช่น หากมีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม ต้องกินผงชูรสประมาณ 1 กิโลกรัม ถึงจะส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่เคยมีรายงานว่าผงชูรสเป็นสาเหตุทำให้คนตายได้ในทันทีทันใด และไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันได้ว่าผงชูรสเป็นสาเหตุของอาการความจำแย่ด้วยค่ะ
แต่อย่างไรก็ดี หญิงตั้งครรภ์ก็ไม่ควรกินผงชูรสโดยเด็ดขาด เพราะอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ รวมไปถึงเด็กแรกเกิดถึงอายุ 3 เดือน ก็ไม่ควรกินผงชูรสเช่นกัน เพราะอาจกระทบต่อการเจริญเติบโตของสมองในเด็กวัยนี้ด้วย
คนที่มีความไวต่อผงชูรส หรือได้รับผงชูรสมากจนเกินไป อาจมีอาการข้างเคียงจากผงชูรสได้ เช่น ลิ้นชา ปากแห้ง คอแห้ง กระหายน้ำ หรือบางคนอาจมีอาการแพ้ผงชูรสอย่างหนักไปถึงขั้นโรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome หรือ CRS) ซึ่งจะมีอาการชาที่ปาก ชาลิ้น ปวดกล้ามเนื้อบริเวณโหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ
ผงชูรส ถ้ากินมากเกินไป อันตรายยังไงบ้าง
โทษของผงชูรสที่น่าเป็นกังวลคือ ผงชูรสไม่มีรสชาติ ดังนั้นเราอาจจะไม่รู้ตัวว่ากินผงชูรสไปมากเท่าไรแล้ว และหากกินผงชูรสในปริมาณที่มากเกินความพอดีไปทุกวัน ๆ อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังได้ เนื่องจากผงชูรสเป็นโซเดียมอย่างหนึ่งที่หากร่างกายได้รับมากเกินไปก็จะเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไตเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า การกินผงชูรสมากเกินไปอาจกระตุ้นให้โรคหอบหืดหรือโรคไมเกรนกำเริบได้
นักกำหนดอาหาร แผนกโภชนาการ โรงพยาบาลศิริราช แนะนำว่า ปริมาณผงชูรสที่กินได้โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคไตเรื้อรัง คือ ผงชูรสปริมาณ 1 ช้อนชาต่อมื้อ หรือวันละ 0.5 กรัมต่อวัน โดยไม่ใส่เครื่องปรุงรสอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือหากกะเกณฑ์ไม่ได้ ก็พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการหมัก การปรุงรสจัด ๆ เช่น อาหารปิ้ง ย่าง ยำ ส้มตำ ต้มยำ เครื่องแกง น้ำจิ้มต่าง ๆ ซึ่งมักจะใส่ผงชูรสและเครื่องปรุงรสอื่น ๆ ในปริมาณที่มากไปจากคำแนะนำ หรือเวลาไปกินอาหารนอกบ้านก็สั่งว่าไม่ใส่ผงชูรสด้วยก็ได้ค่ะ
ผงชูรส ประโยชน์มีไหม
ประโยชน์ของผงชูรสที่เห็นได้ชัดคือเป็นเครื่องปรุงรสที่ทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น และในกรณีผู้สูงอายุที่เบื่ออาหาร กินอาหารไม่ค่อยได้ อาจปรุงอาหารด้วยผงชูรสสักนิดหนึ่งเพื่อเพิ่มรสชาติ และเพื่อให้ผู้สูงอายุกินอาหารได้มากขึ้นก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรระวังไม่ให้ผู้สูงอายุกินอาหารรสจัดมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารรสเค็มจัด หวานจัด หรือมันจัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ ได้
หากเรากินอาหารทุกอย่างอย่างพอดี อย่างมีสติ อาหารก็จะเป็นพลังงานอย่างหนึ่งของร่างกาย เหมือนอย่างเช่นผงชูรสก็เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของการปรุงอาหาร หากเรากินแต่น้อย ก็ไม่เกิดปัญหาอะไร แต่หากกินมากเกินไป แบบนี้ก็เสี่ยงต่อสุขภาพแน่ ๆ ซึ่งหากเราไปกินอาหารนอกบ้านคงไม่รู้ว่าอาหารจานนั้นมีผงชูรสมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการกินผงชูรสมากเกินไป ก็ควรสั่งร้านอาหารไม่ให้ใส่ผงชูรส หรือหันมาทำอาหารกินเองในบ้านให้มากขึ้นก็ดีนะคะ
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 3 กันยายน 2562
Youtube jessadad รายการวิทยาศาสตร์ตาสว่าง, Youtube สํานักข่าวไทย TNAMCOT, ชัวร์ก่อนแชร์, เฟซบุ๊ก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์, คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลศิริราช, กรมอนามัย