ข้าราชการระดับสูง อาการยังน่าห่วง หลังลงแช่บ่อน้ำร้อนจนเกิดภาวะฮีตสโตรก ด้านแพทย์เตือนเด็ก-คนเมา-คนมีโรคประจำตัว-ผู้สูงอายุ อย่าลงแช่น้ำร้อนอย่างรวดเร็วโดยร่างกายปรับตัวไม่ทัน
จากกรณีข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่ง ถูกนำตัวส่งมาจากโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต หลังเกิดภาวะเส้นเลือดขยายทั้งตัว ไตและตับวาย ซึ่งเป็นอาการของโรคฮีตสโตรก (Heat Stroke) อันเนื่องมาจากข้าราชการคนดังกล่าวลงไปแช่น้ำร้อนในบ่อน้ำธรรมชาติ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ โดยไม่มีการปรับตัว จนทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับกับความร้อนของน้ำในบ่อได้นั้น
ล่าสุด วันที่ 20 เมษายน 2558 นพ.เจษฎา จงไพบูลย์พัฒนะ ผอ.โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต กล่าวถึงอาการของข้าราชการคนดังกล่าวว่า อาการผู้ป่วยยังน่าเป็นห่วง ตอนนี้แพทย์ยังให้อยู่ในห้องไอซียู และคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีอาการไตวาย ตับวาย ระบบเลือดในร่างกายเริ่มแข็งตัว เบื้องต้น แพทย์ได้ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกระตุ้นอวัยวะให้ทำงาน
นพ.เจษฎา กล่าวต่อว่า ตนอยากฝากเตือนประชาชนที่ต้องการแช่น้ำร้อนตามบ่อน้ำร้อนธรรมชาติที่มีอุณหภูมิสูงกว่าร่างกาย ขอให้มีการปรับร่างกายก่อนลงไปแช่ หรือค่อย ๆ เดินลงไปในบ่อน้ำร้อน เพื่อให้แต่ละส่วนของร่างกายได้มีการปรับตัวก่อน เพื่อความปลอดภัย แต่หากลงไปแช่น้ำร้อนในทันที อาจทำให้อวัยวะภายในร่างกายตลอดจนเลือดที่หล่อเลี้ยงอวัยวะเกิดการสุก เหมือนเราลวกไข่ หรืออาจทำให้เกิดอาการของโรคฮีตสโตรกได้
ขณะที่ ดร. นพ.ศักดา อาจองค์ วัลลิภากร กลุ่มงานระบาดวิทยาคลินิกและชีวะสถิติ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ขยายความผ่าน “เดลินิวส์ออนไลน์” ว่า สาเหตุของโรคลมเหตุร้อน หรือโรคอุณหพาต (Heat Stroke) หรือชาวบ้านเรียกว่า “โรคลมแดด” มีสาเหตุจากการระบายความร้อนของร่างกายได้ไม่ดี โดยกลุ่มเสี่ยงจะพบได้ตั้งแต่เด็กเล็ก เพราะร่างกายเด็กมีการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าในผู้ใหญ่ คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ และผู้สูงอายุ เนื่องจากมีโรคประจำตัว อาทิ โรคลมชัก ผู้ที่ได้รับยากดประสาท ระบบต่อมเหงื่อบกพร่อง ซึ่งหากอุณหภูมิสูงถึง 42.3 องศาเซลเซียส มักจะทำให้เกิดโรคลมแดด
ดังนั้นหากกลุ่มเสี่ยงที่กล่าวไปข้างต้น ฝืนลงไปแช่น้ำร้อนโดยไม่มีการปรับตัว อาจจะส่งผลให้ความดันตก เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ และบางรายถึงกลับช็อกเสียชีวิตคาที่
ภาพจาก ครอบครัวข่าว 3
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
