คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย ในการดูแลรักษาอาการผู้ป่วย (สำนักจัดการความรู้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข)
1. หากมีอาการป่วยด้วยอาการไข้หวัด เช่น มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั้งในไข้หวัดธรรมดา และไข้หวัดใหญ่ ควรปฏิบัติตัวดังนี้
1.1 หากอาการป่วยไม่รุนแรง เช่น ไข้ไม่สูง ไม่ซึม และรับประทานอาหารได้ ผู้ป่วยสามารถรักษาตามอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล ควรใช้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำมากๆ
1.2 ผู้ป่วยที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่โรคจะรุนแรง 6 กลุ่ม ควรรีบพบแพทย์ทันทีที่เริ่มมีอาการป่วย ได้แก่
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจ หอบหืด เป็นต้น
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอ็ชไอวี ผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
หญิงตั้งครรภ์
ผู้ที่เป็นโรคอ้วน
กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี
1.3 หากมีไข้ ควรเช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำสะอาดที่ไม่เย็น
1.4 ผู้ป่วยควรเฝ้าระวังอาการป่วยของตัวเอง หากเริ่มมีอาการที่บ่งว่าโรคจะรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม หรืออาการป่วยไม่ดีขึ้นใน 3 วัน ควรรีบไปพบแพทย์
1.5 ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง หรือผู้ป่วยเพิ่งจะเริ่มป่วย 1-2 วัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอ็ช1 เอ็น1 หรือไม่ เนื่องจากแนวทาง (วิธี) การดูแลรักษาผู้ป่วยไม่แตกต่างกัน
2 ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่อาจจำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส
2.1 ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่โรคจะรุนแรง 6 กลุ่ม ได้แก่
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจ หอบหืด เป็นต้น
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ติดเชื้อเอ็ชไอวี ผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
หญิงตั้งครรภ์
ผู้ที่เป็นโรคอ้วน
กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปี
เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี
ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง (เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย อาเจียนมาก ซึม)
ผู้ป่วยที่อาการไข้หรืออาการป่วยไม่ดีขึ้นใน 3 วัน
3. ติดตามข่าวสารและคำแนะนำต่างๆ จากกระทรวงสาธารณสุขเป็นระยะๆ
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย ในการป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
การแพร่ระบาดของโรคจะเร็วหรือช้าเพียงใด ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ หากผู้ป่วยปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง จะมีจำนวนผู้สัมผัสเชื้อน้อยและจะมีผู้ป่วยไม่มากนัก แต่หากผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือ ผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลที่ผู้ป่วยใกล้ชิดและคลุกคลีด้วย นั่นคือ หากผู้ป่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ไม่ดี จะมีบุคคลอื่นในครอบครัวหรือบุคคลอื่นในที่ทำงานป่วยตามมาได้นั่นเอง
ผู้ป่วยควรหยุดเรียน หรือหยุดงาน และพักอยู่กับบ้านหรือหอพัก หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้อื่นหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันหลังวันเริ่มป่วย เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ และกลับเข้าเรียนหรือทำงานได้ เมื่อหายป่วยแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
สวมหน้ากากอนามัยเมื่อจำเป็นต้องอยู่กับผู้อื่น หรือใช้กระดาษทิชชู ผ้าเช็ดหน้า ปิดปากและจมูกทุกครั้งที่ไอ จาม
ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก