x close

ผู้เชี่ยวชาญ เผยความจริง 20 ประการ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โรคปอดบวม อู่ฮั่น


           ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยาคลินิก เผย ความจริง 20 ประการ เกี่ยวกับโรคปอดบวม อู่ฮั่น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่


           สถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สร้างความกังวลให้กับประชาชนที่ทราบข่าว ซึ่งแต่ละประเทศต่างเฝ้าระวังป้องกันอย่างเต็มที่ ส่วนไทยนั้นมีผู้ต้องสงสัยป่วยโรคนี้แล้วถึง 8 คน

           เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 27 มกราคม 2563 ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เผยความจริง 20 ข้อเกี่ยวกับ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยมีหลายข้อมูลที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องการติดต่อของโรคนั้นจะติดต่อผ่านการสัมผัสฝอยละออง ความรุนแรงของเชื้อจะยิ่งมากขึ้นตามอายุผู้ป่วย รวมทั้งความรุนแรงของโรคนี้ มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่น้อยกว่า 3% แต่ก็เป็นเหตุให้ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการ และเดินทางไปแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าโรคที่มีอาการรุนแรง เช่น ซาร์ส หรือ เมอร์ส เป็นต้น

           สำหรับเนื้อหาของ ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ เรื่อง ความจริง 20 ประการ เกี่ยวกับโรคปอดบวม อู่ฮั่น โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ มีดังนี้

           1. โคโรนาไวรัส เป็นไวรัสขนาดใหญ่ และเป็นกลุ่มใหญ่ ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน คล้ายมงกุฎ จึงเรียกว่าโคโรนาไวรัส พบได้ทั้งในคน และสัตว์ จำนวนมาก

           2. โคโรนาไวรัส ที่เกิดโรคในคน แต่เดิมมี 6 ชนิด เป็นสายพันธุ์ที่พบดั้งเดิม ทำให้เกิดโรคหวัด และทางเดินหายใจอยู่เป็นประจำถิ่น มี 4 ชนิด และอุบัติใหม่ ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบแบบเฉียบพลัน คือ SARS และ MERS ซึ่งเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิต 10% และ 30% ตามลำดับ

           3. โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือโรคปอดบวมอู่ฮั่น อุบัติใหม่ที่เมืองอู่ฮั่น ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม 2019 เป็นต้นมา และวินิจฉัยได้หลังปีใหม่ ถอดรหัสพันธุกรรมสำเร็จในวันที่ 11 มกราคม 2020

           4. จุดกำเนิดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ผู้ป่วยกลุ่มแรกที่พบ ส่วนใหญ่มีแหล่งสัมผัสจากตลาดสดที่มีการขายอาหารทะเล และสัตว์สิ่งมีชีวิต

           5. โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่เช่นเดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ มีได้ทั้งแบบไม่มีอาการ มีอาการทางเดินหายใจอักเสบแบบเฉียบพลัน จนถึงปอดบวมและโรคแทรกซ้อน

           6. ระยะฟักตัวของโรค โดยทั่วไปโคโรนาไวรัส จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2 ถึง 7 วัน ในทางปฏิบัติการเฝ้าสังเกตอาการหลังสัมผัสโรค หรือมาจากแหล่งระบาดของโรค เราจึงใช้ 2 เท่า คือ 14 วัน

           7. อาการที่ต้องสงสัย คือ ผู้ที่มาจากแหล่งระบาดของโรค ร่วมกับอาการมีไข้ และอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น มีน้ำมูก ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก ในรายที่รุนแรง จะมีปอดอักเสบหรือปอดบวมเกิดขึ้น และทำให้ระบบหายใจล้มเหลวถึงกับเสียชีวิตได้

           8. โรคนี้สามารถติดต่อระหว่างคนสู่คนได้ จึงเกิดการแพร่กระจายได้

           9. การยืนยันผลการวินิจฉัย จำเป็นต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจหาพันธุกรรมของไวรัส

           10. ความรุนแรงของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะมีความรุนแรงน้อยกว่า MERS และ SARS อัตราตายของ MERS อยู่ที่ 30% ของ SARS อยู่ที่ประมาณ 10% แต่ของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่อยู่ที่น้อยกว่า 3%

           11. โรครุนแรงน้อยกว่า ดังนั้น ผู้ที่ติดเชื้ออีกจำนวนมากที่อาจไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย ไม่ได้เป็นปอดบวมทุกราย ดังนั้น ผู้ป่วยจึงสามารถเดินทางไปได้ไกล และสามารถแพร่โรค ทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง และสามารถระบาดได้ทั่วโลก pandemic

           12. เช่น โรคระบาดทั่วไป การกระจายของโรค จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และอำนาจในการกระจายโรค โรคที่มีความรุนแรงน้อย จะกระจายได้มากกว่า การติดเชื้อในอากาศ จะได้มากกว่าการติดเชื้อด้วยการสัมผัสฝอยละออง ปอดบวมอู่ฮั่น เป็นโรคที่ติดโดยการสัมผัสฝอยละออง

           13. เมื่อเป็นโรคใหม่ ทุกคนไม่มีภูมิต้านทาน จึงมีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้ทุกคน ถ้าสัมผัสโรค ส่วนความรุนแรงของโรคจะขึ้นอยู่กับอายุ ในเด็กความรุนแรงของโรคจะน้อยกว่าในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ หรือกล่าวได้ว่าความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นตามอายุนั่นเอง

           14. ในการระบาดของโรค โรคจะหยุดเมื่อมีการติดเชื้อไปจำนวนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับอำนาจการกระจายของโรค ถ้าอำนาจการกระจายของโรคเท่ากับไข้หวัดใหญ่ หรือ 1 คน กระจายไปได้ 2 คน เมื่อมีผู้ติดเชื้อหรือมีภูมิต้านทานแล้วอย่างน้อย 50% โรคจะสงบ แล้วหลังจากนั้นไวรัสนี้ก็จะเป็นโรคประจำถิ่น endemic หรือตามฤดูกาลต่อไป (seasonal) และการติดเชื้อจะเกิดการระบาดได้เป็นหย่อม อย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่ระบาดมา 10 ปีแล้วโรคนี้ก็ยังไม่หยุด ยังมีการระบาดในนักเรียนอยู่เป็นระยะในประเทศไทย

           15. ในปัจจุบัน ณ วันนี้ยังไม่มียาต้านไวรัสใช้รักษา และไม่มีวัคซีนในการป้องกัน

           16. การป้องกันที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย การล้างมือจะป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" จึงยังใช้ได้เสมอในการป้องกันโรคที่ติดต่อทางฝอยละออง

           17. การเดินสวนกันไป-มา ไม่ทำให้เกิดการติดโรคนี้ แต่การอยู่ในระยะใกล้ ในการพูดคุยหรือมีการไอ จาม และมีฝอยละอองกระเด็นมาถูกบริเวณใบหน้า จะทำให้เกิดการติดโรคนี้ได้ การสัมผัสจะต้องหมั่นล้างมือ

           18. ผู้ที่ไม่สบายเป็นโรคทางเดินหายใจทุกราย ควรใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค สำหรับคนปกติ ถ้าต้องการป้องกันโรค การใช้หน้ากากอนามัยชนิด N95 จะต้องใช้ให้ถูกวิธี ในคนปกติ ถ้าใช้ถูกวิธีค่อนข้างจะอึดอัดมาก บุคลากรทางการแพทย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ รวมทั้งชุดในการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรค

           19. ในภาวะปกติที่โรคยังไม่ระบาด ควรดำเนินชีวิตแบบปกติ รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ใครมีโรคประจำตัวก็หมั่นดูแลรักษา

           20. ขณะนี้มีข่าวออกมาในสื่อสังคมมากมาย มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง การเสพสื่อ จะต้องวิเคราะห์สังเคราะห์ ก่อนที่จะส่งต่อออกไป การตื่นตระหนก ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การรับสถานการณ์ ควรรับแบบมีสติ และรอบคอบ ใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลาเข้ามาประกอบการ




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ผู้เชี่ยวชาญ เผยความจริง 20 ประการ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โรคปอดบวม อู่ฮั่น อัปเดตล่าสุด 27 มกราคม 2563 เวลา 15:18:41 34,663 อ่าน
TOP