x close

อาการโอมิครอน BA.4 และ BA.5 เป็นอย่างไร ติดเชื้อแล้วเชื้อจะลงปอดจริงไหม ?

อาการโอมิครอน BA.4 และ BA.5 เป็นยังไง ลงปอดเหมือนเดลตาจริงไหม อันตรายแค่ไหนกัน

           โควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ แต่จริง ๆ แล้วเป็นโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่มีวิวัฒนาการกลายพันธุ์มาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ เหมือนการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ที่เคยผ่านมา และดูเหมือนว่ารอบนี้จะแพร่กระจายได้เร็วกว่าเดิมเสียอีก ทำให้สถานการณ์โควิด 19 ที่เริ่มซา ๆ มีแววจะกลับมาให้ลุ้นระทึกอีกรอบ เราลองมาเช็กกันว่าอาการโอมิครอน BA.4 และ BA.5 เบื้องต้นเป็นอย่างไร จะรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ไหม
โอมิครอน BA.4/BA.5 คืออะไร
อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

          ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็ต้องบอกว่า BA.4 และ BA.5 เป็นพี่น้องกับโควิดสายพันธุ์โอมิครอน BA.1 และ BA.2 คือนับเป็นโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่กลายพันธุ์เพิ่มขึ้นมา และปัจจุบัน BA.4 และ BA.5 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่ต้องจับตาดู (Variant of Concern lineages under monitoring : VOC-LUM) เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ BA.4 และ BA.5 มีลักษณะเด่นที่ต่างไปจาก BA.2 ดังนี้

  • มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่พบการกลายพันธ์ในสายพันธุ์เดลตา 

  • มีความสามารถในการแพร่เชื้อได้เร็วกว่า

  • ดื้อต่อภูมิคุ้มกันของมนุษย์มากขึ้น

  • ดื้อต่อยารักษาโรคมากขึ้น 

อาการโอมิครอน BA.4/BA.5 เป็นอย่างไร
อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

          อาการโอมิครอน BA.4 และ BA.5 จากข้อมูลปัจจุบันยังไม่ต่างไปจากโอมิครอนสายพันธุ์อื่น ๆ มากนัก หลัก ๆ คือ มักมีไข้ เจ็บคอ ไอ น้ำมูกไหล ฯลฯ

          ทั้งนี้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ได้เผยข้อมูลอาการของผู้ติดเชื้อโอมิครอน BA.1, BA.4 และ BA.5 ที่เก็บข้อมูลโดยหน่วยงานสาธารณสุขของฝรั่งเศส พบว่า โดยรวมแล้วผู้ป่วยที่ติดเชื้อ BA.4 และ BA.5 มีอาการชัดกว่าผู้ป่วยที่ติดโอมิครอนรุ่นแรก ซึ่งอาการที่พบมากกว่า 50% เรียงตามลำดับ คือ 

  • อ่อนเพลีย เมื่อยล้า

  • ไอ 

  • เป็นไข้ 

  • ปวดศีรษะ 

  • น้ำมูกไหล 

          นอกจากนี้ ยังพบกลุ่มอาการทางเดินหายใจ เช่น หายใจถี่ และหายใจลำบาก รวมไปถึงกลุ่มอาการทางเดินอาหาร เช่น อาการท้องเสีย ในผู้ป่วยกลุ่ม BA.4 และ BA.5 ได้มากกว่าสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม

อาการโอมิครอน BA.4/BA.5
จะรุนแรงไหม ลงปอดหรือเปล่า
อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

          อย่างที่ทราบว่าสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 สามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี อีกทั้งกลายพันธุ์ในตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลตา จึงทำให้คนหวั่นวิตกอยู่บ้างว่าหากติดเชื้อขึ้นมาจะมีอาการรุนแรง หรือเชื้อลงปอดเหมือนกับเดลตาหรือไม่

          เกี่ยวกับประเด็นนี้ มีข้อมูลจากหลายฝ่ายที่เห็นตรงกันว่า เชื้อ BA.4 และ BA.5 มีการแบ่งตัวเร็วกว่า และเกาะเซลล์ปอดได้มากกว่า BA.2 จึงอาจติดเชื้อที่เนื้อเยื่อปอดได้มากขึ้น และอาจทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการปอดอักเสบได้ง่ายขึ้น 

          สอดคล้องกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขที่ได้เปิดเผยข้อมูลการติดเชื้อในระหว่างวันที่ 2-22 กรกฎาคม 2565 โดยพบว่า ผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง คือปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ BA.4/BA.5 มากกว่า BA.2 จึงอนุมานได้ว่าถ้าติดเชื้อ BA.4/BA.5 น่าจะมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ BA.2 แต่จะรุนแรงมากกว่าแค่ไหนยังต้องรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม

          ขณะที่ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์การอนามัยโลก หรืออังกฤษยังไม่ได้สรุปถึงความรุนแรงของโรค มีเพียงข้อมูลของประเทศญี่ปุ่นที่พบว่า BA.4/BA.5 ดื้อต่อภูมิคุ้มกันและแพร่กระจายเร็วในเซลล์ปอดของมนุษย์มากกว่า BA.2 เพราะจากผลการทดลองในหนู พบว่า BA.4/BA.5 ทำให้หนูทดลองป่วยหนักกว่า BA.2   

จับตา BA.5 ที่ดื้อต่อภูมิคุ้มกันถึง 3 เท่า
อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

           ในการระบาดรอบนี้ นักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสาธารณสุข ต่างเฝ้าระวังสายพันธุ์ย่อย BA.5 มากกว่า BA.4 ด้วยความที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอน BA.5 มีแนวโน้มที่ไม่ธรรมดา และกำลังจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในอนาคต โดยมีความเห็นที่น่าสนใจดังนี้
  • นพ. ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่า โควิดสายพันธุ์ย่อย BA.5 มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกัน หรือดื้อต่อภูมิคุ้มกันมากกว่ารุ่นพี่อย่าง BA.1 ราว 3 เท่า และอาจจะมีความสามารถในการเพิ่มจำนวนสูงกว่าทุกสายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มติดเชื้อในเซลล์ปอดได้มากขึ้น โดยมีกลไกการเข้าสู่เซลล์คล้ายคลึงกับสายพันธุ์เดลตา สะท้อนแนวโน้มที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนล่างได้มากขึ้นคล้ายกับสายพันธุ์เดลตา ดังนั้นจึงทำให้มีอัตราการเข้ารับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลมากขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

  • ด้านศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล (Center for Medical Genomics) ระบุว่า ในสหรัฐอเมริกา โอมิครอน BA.5 มีอัตราการแพร่ระบาดมากกว่า BA.2 ขณะที่ประเทศอังกฤษ BA.5 มีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็วกว่า BA.2 ประมาณ 35.14% และเชื่อว่า ประเทศไทยน่าจะมีการทยอยระบาดของ BA.5 มาแทนที่ทุกสายพันธุ์ เพราะสามารถระบาดได้รวดเร็วกว่า BA.2 แต่ความรุนแรงและอาการทางคลินิกน่าจะไม่แตกต่างจาก BA.2

  • ขณะที่องค์การอนามัยโลกให้ความเห็นว่า ควรต้องเฝ้าระวัง BA.5 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากแอนติบอดีที่จะทำลายฤทธิ์ของเชื้อใช้ได้น้อย ยารักษาตอบสนองน้อยลง แต่ยังสรุปไม่ได้ว่ามีความรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่
BA.5 แพร่ได้เร็วกว่าไวรัสชนิดอื่น ๆ

          นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์​ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ระบุถึงไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ว่าสามารถแพร่ได้เร็วกว่าโควิดสายพันธุ์เดิมทุกสายพันธุ์ และเชื้อไวรัสโรคอื่น ๆ ทุกชนิดในโลก โดยเมื่อเทียบกับไวรัสชนิดอื่นจะพบว่า

  • คนติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อู่ฮั่น 1 คน แพร่เชื้อต่อให้อีก 3.3 คน
  • คนติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตา 1 คน แพร่เชื้อต่อให้อีก 5.1 คน
  • คนติดเชื้อไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.1 หนึ่งคน แพร่เชื้อต่อให้อีก 9.5 คน
  • คนติดเชื้อไวรัสโควิดโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 หนึ่งคน แพร่เชื้อต่อให้อีก 18.6 คน
  • คนติดเชื้อไวรัสอีสุกอีใส 1 คน แพร่เชื้อต่อให้อีก 12 คน
  • คนติดเชื้อไวรัสหัด 1 คน แพร่เชื้อต่อให้อีก 18 คน

          ดังนั้น โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.5 ในขณะนี้จึงแพร่กระจายได้เร็วแซงหน้าไวรัสทุกชนิดในโลก แต่ก็ต้องติดตามเชื้อไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ เช่น BA.2.75 ที่เพิ่งพบในประเทศอินเดีย เพราะอาจจะแพร่ได้เร็วยิ่งกว่าสายพันธุ์ย่อย BA.5 ก็เป็นได้

          ขณะที่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า อัตราการแพร่ระบาดของ BA.5 ใน 83 ประเทศ จากเดิม 37% เพิ่มขึ้นเป็น 52% ในสัปดาห์ถัดมา ส่วน BA.4 อัตราการแพร่ระบาดจากเดิม 11% เพิ่มเป็น 12% แสดงว่า BA.4 และ BA.5 แพร่เร็วไม่เท่ากัน แต่ BA.5 แพร่ได้เร็วขึ้นและเร็วกว่าแน่นอน 

เคยติดโควิดก็มีสิทธิติดเชื้อซ้ำ
อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

           คนที่ติดโควิด 19 มาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์อัลฟา เดลตา โอมิครอน BA.1 BA.2 แม้จะมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ แต่ก็ยังติดโควิด BA.4 และ BA.5 ได้อีกนะคะ เพราะสายพันธุ์นี้ดื้อต่อภูมิคุ้มกันร่างกาย และหลบภูมิได้เก่ง ภูมิที่มีอยู่เดิมจึงอาจไม่เพียงพอจะป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้ โดยเฉพาะในคนที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือรับวัคซีนไม่ครบ 3 เข็ม ก็จะเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อได้ง่ายหรือมีโอกาสเป็นโควิดซ้ำได้มากกว่ากลุ่มที่ได้วัคซีนครบ

           ดังนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเป็นเข็มที่ 4 เพราะมีข้อมูลในต่างประเทศ พบว่า ผู้ป่วยสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ถ้าได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นจะมีอาการน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ฉีด เท่ากับว่าวัคซีนยังได้ผลในการป้องกันอาการหนักและเสียชีวิต 

           สอดคล้องกับข้อมูลจากทาง ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่โพสต์เฟซบุ๊กแฟนเพจว่า ลักษณะของโควิด 19 มีแนวโน้มจะคล้ายไข้หวัดใหญ่ ที่มีการกลายพันธุ์หลบหลีกภูมิคุ้มกันได้เรื่อย ๆ ทำให้เราต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิกันทุกปี

            ทั้งนี้ต้องย้ำอีกทีว่าเราควรป้องกันตัวเองในเบื้องต้นให้ดีที่สุด ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อย ๆ เพราะโควิด 19 ยังไม่จบ ที่สำคัญการฉีดวัคซีนโควิดก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ

บทความที่เกี่ยวข้องกับอาการโควิด 19

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อาการโอมิครอน BA.4 และ BA.5 เป็นอย่างไร ติดเชื้อแล้วเชื้อจะลงปอดจริงไหม ? อัปเดตล่าสุด 26 กรกฎาคม 2565 เวลา 14:42:55 37,825 อ่าน
TOP