x close

แพทย์เตือน! ฉีดกลูตาฯ เสี่ยงตาบอด-มะเร็งผิวหนัง


แพทย์เตือน! ฉีดกลูตาฯ เสี่ยงบอด-มะเร็งผิว

ฮิตเกาหลีฉีดกลูตาฯ เสี่ยงบอด-มะเร็งผิว (ไทยโพสต์)


           "แพทย์ผิวหนัง" เตือนวัยรุ่น กะเทย นิยมฉีดกลูตาไธโอนบ่อย ๆ หวังผิวขาวสวย-หล่อเหมือนดาราเกาหลี มีสิทธิ์ตาบอด หรือเป็นมะเร็งผิวหนังได้ เผยปกติใช้สารนี้กับผู้ป่วยโรคตับอักเสบ เพราะมีคุณสมบัติขับสารพิษในร่างกาย แต่ไม่ได้ให้ใช้กับคนปกติ แนะให้ออกกำลังกาย กินผักผลไม้ที่มีรสไม่หวานมาก ดื่มน้ำสะอาด และใช้ครีมบำรุงผิวที่มีสารกันแดด จะช่วยบำรุงผิวให้สวยงามตามธรรมชาติ  

           เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2554 นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยทั้งชาย-หญิง และเพศที่สามอายุประมาณ 14 ปี นิยมฉีดผิวด้วยกลูตาไธโอนเพื่อทำให้ผิวขาวเหมือนดาราเกาหลีกันมากขึ้น แม้ที่ผ่านมาจะมีคำเตือนจากแพทย์ผิวหนังถึงอันตรายจากการใช้สารดังกล่าวก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีอันตรายต่อตัวเอง  โดยเฉพาะผลในอนาคตที่อาจจะเกิดตามมา เพราะโดยทั่วไปเม็ดสีผิวของคนเราต่างกัน

           นพ.จิโรจกล่าวต่อว่า โดยทั่วไปวงการแพทย์จะใช้กลูตาไธโอนรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาตับอักเสบ เนื่องจากกลูตาไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยเพิ่มการทำงานของตับในการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเซลล์ตับมีการฟอกสารพิษแล้ว เนื้อเยื่อก็อาจมีการบาดเจ็บ สึกหรอ ดังนั้นตัวสารดังกล่าวก็จะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้นด้วย การใช้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ และใช้ยาเป็นช่วงๆ ไม่ใช้ติดต่อกัน กรณีของการนำกลูตาไธโอนไปฉีดเพื่อให้ผิวขาวนั้นถือว่าเป็นการประยุกต์ใช้ขึ้นมาเอง เนื่องจากคุณสมบัติรองของกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว หรือที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) จึงมีการนำสารชนิดนี้ไปใช้ในการดูแลผิว 

           "กลูตาไธโอนที่ฉีดให้บริการวัยรุ่นเป็นของลอกเลียนแบบที่ผลิตในประเทศอื่นๆ โดยพิมพ์ว่าผลิตในอิตาลีเช่นเดียวกันกับที่วงการแพทย์นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคตับ จึงเกิดปัญหาความบริสุทธิ์ของยา ดังนั้นจึงต้องมีการเฝ้าระวังวัยรุ่นไทยจะได้รับผลกระทบจากกระแสการฉีดสารดังกล่าว" นพ.จิโรจ กล่าว และว่า การใช้สารเพื่อทำให้ผิวขาวจะมีผลเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อสารหมดฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีเหมือนเดิมอีก ดังนั้นหากวัยรุ่นหรือประชาชนต้องการให้มีผิวพรรณดี ขอให้ดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด กินอาหารที่มีประโยชน์ เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่รสไม่หวานมาก ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม  ออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาที และดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ  8 แก้ว และถ้ามีความต้องการดูแลผิวให้สุขภาพดีด้วยสามารถใช้ครีมบำรุงที่ผสมสารกันแดด เพราะแสงแดดก็เป็นตัวการทำลายผิวได้ 

           นพ.จิโรจกล่าวต่ออีกว่า ประเด็นที่น่าวิตกก็คือปริมาณการฉีดเข้าร่างกายที่เกินขนาด 2-3 เท่าตัว ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียกับสุขภาพ คือจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ซึ่งเม็ดสีผิวของคนเราสร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซท์) ในผิวหนัง มีประโยชน์เหมือนแผ่นกรองแสง ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมาก ๆ  และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เม็ดสีผิวลดลง ภูมิต้านทานของผิวจะลดลง  เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้น เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหน้าได้  นอกจากนี้ยังอาจเกิดผลกระทบต่อจอตาโดยตรง ซึ่งมีหน้าที่รับแสงในการมองเห็น ทำให้จอประสาทตาอักเสบได้ง่าย และหากเกิดการอักเสบบ่อย ๆ อาจถึงขั้นตาบอดได้

           ทั้งนี้ หน่วยงานด้านสาธารณสุขไม่ว่าจะเป็น สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แพทยสภา ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ยังไม่รับรองความปลอดภัยของการฉีดกลูตาไธโอนเพื่อทำให้ผิวขาวแต่อย่างใด เนื่องจากต้องคำนึงถึงผลเสียในระยะยาวที่ยังไม่มีการประเมินได้ชัดเจน ส่วนกลูตาไธโอนชนิดใช้รับประทานนั้น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ขึ้นทะเบียนรับรอง โดยอนุญาตให้ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีผลต่อสุขภาพน้อยกว่า แต่หากกินนาน ๆ ก็อาจรบกวนการทำงานของไตได้เช่นกัน


ขอขอบคุณข้อมูลจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แพทย์เตือน! ฉีดกลูตาฯ เสี่ยงตาบอด-มะเร็งผิวหนัง อัปเดตล่าสุด 14 ธันวาคม 2554 เวลา 11:59:17
TOP