x close

แก้โรคขี้เหร่ด้วยวิธีธรรมชาติ

 

แก้โรคขี้เหร่ด้วยวิธีธรรมชาติ (ชีวจิต)

         
แม้จะทำหน้าที่เป็นแผ่นกรองแสงชั้นดี แต่สารเมลานิน (melanin) หรือ เม็ดสีก็อาจโดนทำลายหรือมีกระบวนการสร้างที่ผิดปกติไปได้ ซึ่งทำให้ผิวหนังมีสีซีดจาง บางคนมีสีเข้มขึ้น บางคนเป็นจุดกระ ด่าง ดำ สาเหตุของความผิดปกติของเม็ดสีนั้นมีหลายปัจจัย เช่น

          โรคจากพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน การโดนแสงแดดจัด การกินยาคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูงและยาประเภทฮอร์โมนอื่นๆ โรคผิวหนังบางชนิด เช่น กลากเกลื้อน การได้รับสารเคมี การขาดวิตามิน เป็นต้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นความผิดปกติของเม็ดสี อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ระวังโรคร้ายที่กำลังเกิดขึ้น

 

          โรคด่างขาว

          โรคด่างขาวเป็นภาวะที่เซลล์สร้างเม็ดสีหรือเมลาโนไซต์ถูกทำลาย จากสถิติพบว่า ประชากรเป็นโรคนี้ร้อยละ 1 และพบในคนผิวคล้ำมากกว่าคนผิวขาว ร้อยละ 70-80 ของผู้ป่วยมีอายุต่ำกว่า 30 ปี สำหรับรอยโรคจะปรากฎขึ้นเองโดยไม่มีอาการ ลักษณะที่ขึ้นใหม่ๆ จะเป็นสีขาวจางเหมือนเกลื้อนเมื่อเป็นนานเข้าจึงเห็นเป็นสีขาว ขอบชัดเจน มีรูปร่างกลม หรือ รี หรือเป็นทางยาวตามแนวของเส้นประสาท พบได้บ่อยที่ใบหน้า มือ เท้า และผิวหนังเหนือข้อ รอยดังกล่าวมีขนาดตั้งแต่จุดเล็กๆ ไปจนถึงมีขนาดใหญ่ปกคลุมได้เกือบทั่วร่างกาย 

          ในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลแน่นอน แต่โรคด่างขาวไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น อาจไม่รักษาก็ได้ แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการรักษาเพราะรอยโรคมีผลต่อการเข้าสังคม 

 

          ไฝและขี้แมลงวัน

          ไฝมีอยู่หลายชนิด ไฝธรรมดาที่เราเห็นทั่วไป เป็นจุดกลมหรือรีเล็กๆ สีดำ น้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้ม มีผิวนูนเล็กน้อย ขี้แมลงวันก็ถือว่าเป็นไฝชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นไฝแบบเรียบ และฝังตัวอยู่ตื้นๆ เฉพาะในส่วนของชั้นหนังกำพร้า ไฝจะเริ่มปรากฎให้เห็นตามตัวในช่วงอายุระหว่าง 6-12 เดือน และมักมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ และเมื่ออายุมากถึงจุดหนึ่ง ขนาดของไฝก็จะกลับค่อยๆ เล็กลง บางเม็ดก็หายไปเลย ฉะนั้นหากสังเกตให้ดีในคนที่อายุมากๆ จะไม่ค่อยมีไฝ

          สำหรับไฝยักษ์ มีลักษณะเป็นปื้นหนา มีขนขึ้น ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง บางคนเป็นเกือบครึ่งตัว ส่วนมากเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด เด็กกลุ่มนี้อาจมีความผิดปกติของระบบประสาทร่วมด้วย เช่น ชักบ่อย มีสติปัญญาบกพร่อง เพราะกลุ่มเซลล์ที่สร้างเม็ดสีนั้นเจริญมาจากเซลล์ระบบประสาท หากเซลล์กลุ่มนี้ผิดปกติ ระบบประสาทอาจผิดปกติไปด้วย

          โรคบางอย่างอาจทำให้ไฝมีจำนวนมากขึ้นได้ เช่น ภาวะตั้งครรภ์ หรือการได้รับยาบางชนิด ที่สำคัญคือโรคบางกลุ่ม เช่น เนื้องอก และมะเร็ง ยกตัวอย่างเช่น หากพบจุดสีน้ำตาลเล็กๆ เป็นจำนวนมากมายบนบริเวณริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม รอบปาก ลิ้น เพดานเหงือก หรือที่ผิวหนังบริเวณปลายมือ ปากเท้า แพทย์ผิวหนังจะรีบส่งคนไข้ไปตรวจหลายอย่าง เพราะคนไข้มีโอกาสมีเนื้องอกในทางเดินอาหาร หรือลำไส้ แต่สิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีไฝขนาดใหญ่ ควรจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของตัวเองให้ดี เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ไฝกำลังจะกลายเป็นเนื้อร้ายได้คือ

         
1. สีไม่สม่ำเสมอ มีหลายสีในเม็ดเดียว หรือมีสีเข้ม สีอ่อนเกิดขึ้น
          2. ผิวเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น นูนหนา ขรุขระ ก้อนนูนโตขึ้นเรื่อยๆ
          3. ขอบเขตเริ่มไม่เรียบ มีแขนขายื่นออกไป ขอบหยักไปมา
          4. มีการเปลี่ยนแปลง เช่น คัน แตกเป็นแผล มีเลือดออก มีการอักเสบ ปวดกดเจ็บเป็นต้น
         5. มีไฝขนาดเล็กๆ เกิดรอบเม็ดใหญ่
          6. ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงมีขนาดโตขึ้น

         ขี้แมลงวันและไฝสามารถจี้ออกได้โดยใช้เลเซอร์และเครื่องจี้ไฟฟ้า จี้ให้เกิดแผลตื้นๆ รอยแผลจะคงอยู่ 5-7 วัน แต่หลังจากทำแล้ว อาจมีปัญหาตามมาคือ หนึ่ง ไฝอาจกลับมาขึ้นใหม่และเพิ่มจำนวนขึ้นได้ หากการจี้ไม่สามารถเอาเซลล์ออกได้หมด สอง การติดเชื้อจากขั้นตอนการทำ การดูแลแผลไม่ดี เช่น หลังทำแล้วไปเล่นกีฬา โดนฝุ่นละออง สาม ถ้าจี้ลึกเกินไป แผลอาจกลายเป็นรอยแผลเป็นลึก ส่วนไฝเม็ดใหญ่ต้องใช้วิธีการตัดด้วยใบมีดแล้วเย็บแผล ความเนียนเรียบจึงขึ้นอยู่กับฝีมือของแพทย์แต่ละท่าน

          นอกจากนี้มีข้อแนะนำว่า เราควรกำจัดไฝในตำแหน่งที่มองไม่เห็น หรือยู่ในตำแหน่งที่มีการเสียดสีและทำให้ระคายเคืองได้ง่าย มากกว่าไฝที่อยู่ในตำแหน่งอื่นๆ และข้อพึงระวังอีกประการ คือ การกำจัดไฝตำแหน่งที่อยู่ตั้งแต่ลำคอลงไป เช่น ลำตัว แขน ขา จะมีโอกาสเกิดคีลอยด์มากกว่าบริเวณหน้า

          กระ

          กระมี 3 ชนิด คือ กระตื้นและกระลึก

          1. กระตื้น จะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล มักเป็นบริเวณใบหน้าหรือส่วนที่โดนแสงบ่อยๆ กระตื้นยังแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. Freckle มักพบในเด็กและวัยรุ่น กระนี้จะมีสีเข้มขึ้นและเห็นชัดเจนถ้าไปโดนแดด และจะจางลงเมื่อไม่โดนแดด 2.Solar Lentigo หรือกระแดด พบบ่อยในผู้ใหญ่ เกิดจากการผลิตเม็ดสีมากกว่าปกติ จะแตกต่างจากกระชนิดที่ 1 คือ สีจะไม่จางลงถึงแม้ว่าจะหลีกเลี่ยงแสงแดดแล้วก็ตาม แถมยังเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามอายุ

          2. กระลึก มีลักษณะเป็นจุดสีเทาหรือฟ้าอมเทาหลายจุดที่บริเวณโหนกแก้มสองข้าง มักพบในผู้หญิงเอเชีย เกิดเนื่องจากมีเซลล์สร้างเม็ดสีขึ้นผิดที่ คือ ไปอยู่ชั้นหนังแท้ เพราะฉะนั้นกระลึกพวกนี้จึงไม่ตอบสอนต่อการทายากำจัดฝ้า

          3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาลหรือดำ ซึ่งค่อยๆ ขยายขนาดขึ้นช้าๆ เป็นตุ่มแบนขนาดใหญ่มีขอบชัดเจน ผิวอาจจะเรียบหรือขรุขระก็ได้ ส่วนมากจะ เริ่มเป็นตั้งแต่วัยกลางคน และค่อยๆ เพิ่มจำนวนและขนาดขึ้นช้าๆ ตามอายุ มักพบรอยโรคที่ใบหน้าและส่วนของลำตัว ผู้ที่มีการตกกระแบบนี้มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นด้วย

          กระตื้นจะนิยมใช้การรักษาโดยใช้เลเซอร์ ซึ่งทำให้เกิดสะเก็ดขาวและหลุดออกไป แต่เนื่องจากเป็นกรรมพันธุ์กระนี้ก็จะกลับมาขึ้นใหม่อีก หากไปโดนแสงแดดจัด ส่วนกระลึกก็นิยมใช้การทำไอพีแอล ดังนั้นถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกกังวลใจก็ไม่จำเป็นต้องรักษา เนื่องจากรอยโรคเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นมะเร็งผิวหนัง รอยโรคมีจำนวนมาก ซึ่งทำให้เสียเวลาในการรักษา และถึงแม้จะขูดหรือจี้ออกหมด ก็มีโอกาสกลับมาขึ้นใหม่

           ฝ้า

         
เป็นสภาพผิวหนังของใบหน้าที่มีปื้นเป็นสีคล้ำ เกิดจากการเพิ่มจำนวนเม็ดสีที่ผิวหนังซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ภาวะนี้เกิดในเพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้ชายก็เป็นฝ้าได้ถ้าตากแดดมากเกินไป วัยที่เริ่มเป็นฝ้าได้แก่วัยกลางคน ฝ้าพบเป็นกันมากในประเทศเขตร้อน เพราะได้รับแสงแดดมากกว่าที่อื่น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน คือ ฝ้าที่เกิดระหว่างการตั้งครรภ์ หรือในช่วงที่กินยาคุมกำเนิด เมื่อหมดการกระตุ้นจากฮอร์โมน ได้แก่ ระยะหลังคลอด หรือหลังหยุดยา ฝ้าที่เป็นอยู่ก็จะหายขาดไปเอง รวมถึงการแพ้เครื่องสำอางบางอย่างอาจทำให้เกิดฝ้าดำขึ้นได้

          ฝ้าที่เกิดใหม่มักเป็นชนิดตื้น เกิดจากการที่ผิวหนังชั้นหนังกำพร้ามีจำนวนเม็ดสีเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเป็นไปนานๆ ก็มีโอกาสกลายเป็นฝ้าลึก ซึ่งเกิดจาการเพิ่มของเม็ดสีในชั้นหนังแท้ สีฝ้าจะคล้ำเข้มมากขึ้น และรักษาให้หายยาก

          การรักษาฝ้าจะมีอยู่หลายวิธี เช่น การทายา ซึ่งมีตัวยาหลายตัว เช่น ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ  พวกนี้จะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสี นอกจากนี้ก็ยังมีสารในกลุ่มไวเทนนิ่ง เช่น กรดโคจิก ชาเขียว ชาขาว ซึ่งจะมีพิษน้อยกว่าในกลุ่มที่เป็นยา แต่ว่าประสิทธิภาพในการรักษาเป็นอย่างไรไม่ทราบ เพราะไม่มีหลักฐานวิชาการสนับสนุนชัดเจน

          การรักษาด้วยเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ การทำเลเซอร์บางอย่าง เช่น คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ ต้องระวังเพราะมีผลข้างเคียงสูง เนื่องจากบางคนทำแล้ว ฝ้าหายก็จริง แต่ผิวที่ขึ้นใหม่จะคล้ำเป็นรอยดำ ซึ่งเกิดจากรอยแผลของการทำเลเซอร์ ส่วนการรักษาฝ้าด้วยวิธีไอออนโต หรือโฟโตนั้นก็ยังไม่เป็นการรักษาที่ยอมรับในระดับสากล หากจะใช้วิธีการรักษาดังกล่าว ต้องใช้ควบคู่กับการทายาด้วยจึงจะได้ผล

          สมุนไพรสลายฝ้า

         
ทุกวันนี้มีสมุนไพรหลายตัวที่นำมาใช้เพื่อช่วยฟอกสีกระ ฝ้าให้จางลง เช่น ใช้วุ้นว่านหางจระเข้สดถูที่ผิว ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก ก่อนนำมาใช้ต้องล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด หรือใช้น้ำมะเฟืองคั้นสดทาบริเวณฝ้า ทิ้งให้แห้งแล้วล้างออก เพราะในมะเฟืองมีความเป็นกรดสูง เวลาใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางก่อน แล้วทดสอบผิวบริเวณอื่นก่อนนำมาทาหน้า 

 

          กินปกป้องผิว

          วิตามิน เอ ซี ดี และอี ช่วยในการป้องกันผิวหนังไม่ให้เป็นอันตราย และอาจช่วยให้ผิวหนังไม่กลายเป็นสีคล้ำ เนื่องจากรังสีอัลตราไวโอแลต แต่ควรใช้วิตามินเอเสริมด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อตับได้ การบริโภคผักและผลไม้สดมากๆ จำกัดการกินไขมันอิ่มตัว แป้งขัดขัด และแอลกอฮอล์ ก็ช่วยป้องกันผิวเหี่ยวย่น กระ ฝ้า ได้เช่นกัน 

 

          ปกป้องผิวด้วยตัวเอง

          การหลีกเลี่ยงแสงแดด เป็นวิธีดูแลรักษาตัวเองขั้นพื้นฐาน สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของเม็ดสีส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนเป็นโรคด่างขาว ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยสวมเสื้อผ้าปกปิด ส่วนคนทั่วไปก็ไม่ควรละเลยที่จะสวมหมวก หรือพกร่ม เพราะหากคุณได้รับแสงแดดมากเท่าไร เมื่ออายุมากขึ้น พลังงานแสงที่คุณเก็บไว้จะกลายเป็นกระแดดจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาผิวพรรณร้อยละ 80 เกิดจากการรับแสงแดด ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี การเริ่มใช้ครีมกันแดดในวัยผู้ใหญ่แล้วอาจจะสายเกินแก้

 

          ดังนั้นควรเริ่มทาครีมกันแดดให้กับเด็กวัย 6 เดือนเป็นต้นไป โดยเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมอื่นๆ น้อย เพราะเด็กมีโอกาสแพ้ง่าย ส่วนผู้ใหญ่ให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป โดยเลือกเนื้อครีมให้เหมาะกับผิวพรรณ เช่น ถ้าผิวแห้งควรเลือกเนื้อครีมมัน และเหมาะกับกิจกรรมด้วย เช่น หากไปว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก ควรทาครีมกันแดดที่กันน้ำ โดยเฉพาะคนที่เป็นฝ้าควรจะทาครีมกันแดดทุกฤดูกาลเพราะคุณมีโอกาสเกิดฝ้าได้มากกว่าคนอื่นๆ แม้โดนแสงแดดเพียงเล็กน้อย 

 

          ผ่อนคลาย หายเครียด

          ความเครียด กังวลใจ และการพักผ่อนน้อยล้วนมีผลต่อสุขภาพผิว โดยเฉพาะคนที่เป็นฝ้า ยิ่งจะทำให้รอยดำคล้ำมากยิ่งขึ้น วิธีการคือ ทำใจให้สงบ หากเครียดมากๆ ให้นั่งสมาธิ เพราะการทำสมาธิ จะทำให้ฮอร์โมนจากต่อมไพเนียลแกรนด์ในสมองซึ่งเป็นตัวควบคุมการนอนหลับและการสร้างเม็ดสีจะทำงานเป็นปกติ เห็นได้ว่าผู้ปฏิบัติสมาธิจะมีผิวพรรณผุดผ่อง

 

 

 เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย

     คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แก้โรคขี้เหร่ด้วยวิธีธรรมชาติ อัปเดตล่าสุด 16 ธันวาคม 2556 เวลา 15:25:10 2,562 อ่าน
TOP