เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
แพทย์เตือน การรักษาโรคด้วยสเต็มเซลล์ยังทำได้เฉพาะโรคทางระบบโลหิต 5 โรค โรคอื่นยังอยู่ในขั้นวิจัยเตือนประชาชนระวังถูกหลอกรักษาโรคอื่นด้วยสเต็มเซลล์
ปัจจุบันมีการแอบอ้างการรักษาโรคด้วยสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดกันมากมาย เนื่องจากเสต็มเซลล์ คือ เซลล์ที่ตัวอ่อนที่สามารถเจริญเติบโตไปเป็นเซลล์ตัวแก่ เพื่อให้อวัยวะทำงานได้ตามปกติ มีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถแบ่งตัวทำให้เกิดเซลล์ใหม่ได้ไม่จำกัด ทำให้เซลล์ไม่หมดไปจากร่างกาย จึงกลายเป็นความหวังใหม่ทางการแพทย์ ทำให้มีคนนำผลิตภัณฑ์จากเสต็มเซลล์ซึ่งอาจไม่มีงานวิจัยรองรับมาจัดจำหน่าย หรือแอบอ้างการใช้เสต็มเซลล์ในการรักษาโรคและชะลอการเสื่อมสภาพของอวัยวะอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีประชาชนถูกหลอกเป็นจำนวนมาก
ล่าสุดวานนี้ (6 กันยายน 2556) มีรายงานว่า ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยร่วมกับสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และสมาคมประสาทวิทยา เรื่องแนวคิดการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคทางอายุรกรรม โดยระบุว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์สามารถพัฒนาจนทำให้มีการรักษาโรคด้วยสเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดได้และเป็นที่ยอมรับเพียง 5 โรคเท่านั้น ดังนี้
1. โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว 2. โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 3. โรคไขกระดูกฝ่อ 4. โรคมะเร็งมัลติเพิล มัยอิโรมา 5. โรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัตซีเมียทั้งนี้ ยังไม่มีผลการศึกษาอื่นที่ยืนยันชัดเจนว่า สามารถนำสเต็มเซลล์มารักษาโรคอื่น ๆ นอกเหนือจาก 5 โรคดังกล่าวได้ การที่ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดและถูกชวนเชื่อหรือชักชวนว่ามีแพทย์สามารถรักษาโรคเสื่อมของสมอง หัวใจ ไต หรืออวัยวะอื่น ๆ ได้ด้วยสเต็มเซลล์ อาจทำให้เกิดโทษต่อผู้ป่วยที่ได้รับสเต็มเซลล์ได้ โดยอาจเกิดอาการแพ้ เกิดการอุดตันของหลอดเลือด และอาจเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรง ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ เนื่องจากมีการนำสเต็มเซลล์มาใช้อย่างไม่ถูกต้องนั่นเอง
นอกจากนี้ ศ.นพ.เกรียง ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การประกาศเจตนารมณ์ของราชวิทยาลัยฯ ในครั้งนี้ เพื่อเตือนให้ผู้ป่วยอย่าหลงเชื่อ หากมีคนอ้างว่าสเต็มเซลล์สามารถรักษาโรคอื่นใดนอกเหนือจาก 5 โรคดังกล่าวได้ และหากมีผู้ใดชักชวนให้รักษาด้วยสเต็มเซลล์นอกจาก 5 โรคนั้น ให้แจ้งไปที่แพทยสภาเพื่อตรวจสอบได้ว่า การรักษาดังกล่าวเป็นโครงการวิจัยหรือไม่อย่างไร ซึ่งหากเป็นโครงการวิจัย ผู้ป่วยจะต้องไม่เสียเงินและไม่มีการเรียกเก็บเงินหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด
ด้าน ผศ.นพ.ดร.นิพัญจน์ อิศรเสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านสเต็มเซลล์ แพทยสภา กล่าวว่า สเต็มเซลล์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน สเต็มเซลล์จากอวัยวะหนึ่งไม่สามารถสร้างเซลล์ของอวัยวะหนึ่งได้ ทั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าสเต็มเซลล์สามารถรักษาโรคอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือสามารถชะลอความเสื่อมสภาพของอวัยวะในผู้ป่วยหรือบุคคลปกติได้
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
