คุณยายชาวอำนาจเจริญ วัย 58 ปี ร้องเรียนสื่อมวลชน หลังคาดว่าตัวเองกินยาที่องค์กรเภสัชบรรจุสลับซองกัน ขณะที่แพทย์ ย้ำ ไม่ต้องวิตก เพราะเป็นยากลุ่มเดียวกัน โดยวันนี้จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
สืบเนื่องจากกรณีที่องค์กรเภสัชกรรม เรียกคืนยา หลังจากมีการบรรจุยาสลับซองกันระหว่าง ยาไอโซซอร์ไบด์ ไดไนเตรต (Isosorbide dinitrate) ขนาด 10 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาขยายหลอดเลือดใช้รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และยาแอมโลดิปีน (Amlodipine) ขนาด 5 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาลดความดันโลหิต จนสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ป่วยที่ใช้ยาทั้งสองชนิดดังกล่าวนั้น
ล่าสุด วันนี้ (9 กันยายน 2556) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ระบุว่า วันนี้จะมีการแถลงข่าวเกี่ยวกับสาเหตุการบรรจุยาสลับซองอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่ผลการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า การสลับยาไม่ได้มากอย่างที่เป็นข่าว โดยล็อตการผลิต คือ 600,000 เม็ดจริง แต่มีการบรรจุยาสลับประมาณ 50-100 เม็ดเท่านั้น
โดยปัญหาเกิดจากช่วงที่ต้องนำยาออกมาสุ่มตรวจคุณภาพ ซึ่งตามขั้นตอนปกติต้องทิ้งยาเหล่านั้นทันทีหลังการตรวจสอบ แม้ว่ายาจะยังมีคุณภาพดีอยู่ก็ตาม แต่ปัญหาคือ ผู้ตรวจสอบยาล็อตนี้ เมื่อเห็นว่ายายังมีคุณภาพดี จึงเทยากลับเข้าไปในระบบผลิต จนทำให้เกิดการสลับยาระหว่างบรรจุซอง ซึ่งยอมรับว่า แม้จำนวนยาจะน้อย แต่มันไม่ควรเกิดขึ้น ดังนั้นจึงต้องการมีลงโทษผู้กระทำผิด พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ว่า ต้องไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก
ขณะที่ เภสัชกรกิตติ พิทักษ์นิตินันท์ เลขาธิการสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า ยาไอโซซอร์ไบด์ ไดไนเตรต และยาแอมโลดิปีน เป็นยาในกลุ้มเดียวกัน คือ ช่วยขยายหลอดเลือดทั้งคู่ แต่ออกฤทธิ์กันคนละจุด ผู้ป่วยที่ได้รับยาผิด อาจไม่แสดงอาการออกมามากนัก เพราะได้รับยาปริมาณน้อย คือ แฝงไป 1 เม็ด ใน 1 แผง อาการค้างเคียง คือ อาจมีอาการเวียนศีรษะ
ทั้งนี้ ผู้ป่วยสามารถสังเกตยาได้ โดยดูจากสัญลักษณ์บนเม็ดยาที่ต่างกัน โดยหลังจากนี้เป็นหน้าที่ขององค์การเภสัชกรรมที่จะต้องส่งยาล็อตใหม่ที่ไม่มีปัญหามาให้กับโรงพยาบาล และโรงพยาบาลต้องเก็บยาชุดเก่าจากผู้ป่วยกลับคืนมาแล้ว ก่อนจ่ายยาชุดใหม่ไปให้แทน
ขณะที่แพทย์ด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เผยว่า ผู้ใดที่รับประทานยาบรรจุผิดซองไปแล้วก็ไม่ต้องวิตก เพราะอย่างมากจะมีอาการแค่วิงเวียนศีรษะ ให้นั่งหรือนอนพักก็หาย อีกทั้งผู้ป่วยบางรายอาจมีแนวทางการรักษา โดยต้องรับประทานยาทั้ง 2 ตัวนี้ ควบคู่กันอยู่แล้ว
ขณะที่จังหวัดอำนาจเจริญ มีรายงานว่า ผู้ป่วยหญิง วัย 58 ปี รายหนึ่ง ซึ่งป่วยด้วยโรคเบาหวานและความดันมากว่า 10 ปี และไปรับยาจากแพทย์มารับประทานอย่างต่อเนื่อง ได้ร้องเรียนว่า ครั้งหลังสุดที่ไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการเบาหวาน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2556 แพทย์ได้ให้ยาตัวใหม่มา แต่เมื่อนำมารับประทานก็เกิดอาการเวียนศีรษะ อาเจียน และถ่ายอย่างรุนแรง เป็นเช่นนี้หลายครั้งติดต่อกัน เมื่อได้ดูข่าวเรื่องการบรรจุยาผิด จึงนำแผงยาที่มีอยู่มาเทียบกับข่าวในโทรทัศน์ ปรากฏว่า น่าจะเป็นยาที่บรรจุผิดประเภท จึงมาร้องเรียนกับสื่อมวลชน เพื่อเตือนผู้ป่วยรายอื่นให้ระวัง เนื่องจากเกรงว่า อาจเกิดอันตรายได้