กรมอนามัย แนะล้างผักให้สะอาดก่อนกินหรือปรุงอาหาร ป้องกันยาฆ่าแมลงตกค้าง ชี้ หากสะสมในร่างกายมากไปเสี่ยงมะเร็งเต้านม
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวแนะนำว่า การกินผักแต่ละครั้งผู้บริโภคควรคำนึงถึงความปลอดภัยและอันตรายจากสารเคมีตกค้าง หรือการสะสมจากยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ที่เป็นสารก่อมะเร็งไม่ให้มีมากในร่างกาย
โดยเฉพาะยาฆ่าแมลงจำพวกคลอริเนตเตทไฮโดรคาร์บอน (Chlorinated hydrocarbon) หรือเรียกว่าออร์กาโนคลอรีน (organochlorine) ได้แก่ อัลดริน เคลเธน ดีดีที คลอเดน ดรีลดริน เป็นต้น ซึ่งใช้กำจัดแมลงได้หลายชนิด อยู่ในธรรมชาติได้นานไม่สลายตัวได้ง่าย ก่อให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างและเป็นอันตรายมาก เมื่อได้รับสารนี้ในปริมาณมากจะทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด ท้องร่วง อาจเกิดหัวใจวายและตาย แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อย ๆ ค่อย ๆ สะสมในร่างกายจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้
ทั้งนี้ อธิบดีกรมอนามัย จึงแนะนำให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงกินผักนอกฤดูกาล เนื่องจากมีแนวโน้มของการใช้สารเคมีมากกว่าผักตามฤดูกาล โดยก่อนกินผักหรือนำมาปรุงอาหารทุกครั้ง ควรนำมาล้างน้ำให้สะอาด เพื่อป้องกันสารเคมีและยาฆ่าแมลงตกค้างด้วยการลอกเปลือกด้านนอกออกล้างผ่านน้ำก๊อกที่ไหลนาน 2 นาที หรือแช่ในน้ำผสมเกลือ หรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที หรือแช่ในน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 กะละมัง หรือน้ำประมาณ 4 ลิตร จากนั้นนำมาผักมาล้างน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารพิษที่ตกค้างออกให้หมดช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งโดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านม
"ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้กินผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 400 กรัมเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่าง ๆ เช่น หัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบ และมะเร็งบางชนิด เนื่องจากคนไทยกินผักน้อยลง โดยเฉพาะเด็กไทยร้อยละ 58.9 ไม่ได้กินผักทุกวัน กินผักเพียงช้อนครึ่งต่อวัน ทั้ง ๆ ที่ควรกินผักให้ได้วันละ 12 ช้อนกินข้าว"
"ส่วนผู้ใหญ่พบว่า กินผักน้อยมากเช่นกัน ซึ่งพบว่ากินผักเพียงวันละ 2 ช้อนครึ่งเท่านั้น ในขณะที่กรมอนามัยแนะนำให้ผู้ใหญ่กินผักถึง 18 ช้อนต่อวัน หรือ 6 ทัพพี โดยให้กินผักที่หลากหลาย เพราะผักมีใยอาหารหรือเส้นใย ช่วยทำความสะอาดลำไส้และช่วยลดการดูดซึมไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือด มีวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยปรับสมดุลเอนไซม์และฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพ ให้สารพฤษเคมีที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย" อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก