9 วิธีลดน้ำหนักสุดเฮลธ์ตี้แบบสาวญี่ปุ่น เผยความลับหุ่นดีที่น่าทำตาม

1. ไดเอตด้วยอาหารที่มีประโยชน์

          อย่าเพิ่งคิดว่าชาวญี่ปุ่นชอบกินแต่ซูชินะคะ เพราะถ้ามองไปบนโต๊ะอาหารของชาวญี่ปุ่น เราก็มักจะเห็นปลา สาหร่ายทะเล ผัก ถั่วเหลือง ข้าว ผลไม้ และชาเขียวอยู่ในมื้ออาหารด้วย ซึ่งอาหารเหล่านี้นี่แหละที่ช่วยให้ชาวญี่ปุ่นมีหุ่นดีและมีสุขภาพแข็งแรง เพราะล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่มีไขมันต่ำ นอกจากนี้ชาวญี่ปุ่นมักจะทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะและสมดุลกันด้วย จึงไม่แปลกใจที่สาวญี่ปุ่นจะมีหุ่นดี
        
2. เสิร์ฟในปริมาณพอเหมาะ
          ถ้าลองสังเกตดูดี ๆ จะเห็นว่าอาหารต่าง ๆ ในร้านอาหารญี่ปุ่นนั้นจะเสิร์ฟไม่เหมือนบ้านเรา คือจะเสิร์ฟในขนาดเล็ก ปริมาณน้อย ใช้ถ้วยจานที่ดูสะอาดตา เน้นการตกแต่งที่ดี ไม่เยอะจนเต็มจาน จัดวางแบบธรรมชาติ ให้เราเอ็นจอยกับอาหารได้อย่างช้า ๆ และเป็นการควบคุมปริมาณอาหารไปในตัวด้วยนะคะ อย่างเช่น ซูชิ ที่จะเสิร์ฟเป็นคำ ๆ ทำให้ทานแล้วอิ่มแบบพอดี ๆ แบบนี้ถึงได้ไม่อ้วนไง

3. มีเทคนิคในการปรุงอาหาร

          การจะทำให้อาหารเป็นอาหารที่ดีนั้นต้องมาจากการปรุงอย่างถูกต้อง สะอาด ปลอดภัย และได้คุณภาพ ทั้งในเรื่องอุปกรณ์ วัตถุดิบ ระยะเวลา และอุณหภูมิในการทำอาหาร  และจะต้องคงคุณค่าของอาหารไว้ให้มากที่สุด ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นปฏิบัติกันมาตลอด เพราะอาหารญี่ปุ่นมักจะ เคี่ยว ย่าง ต้ม และทอดด้วยภาชนะพิเศษ ใส่น้ำมันน้อย ทำให้อาหารไม่มัน กินแล้วไม่อ้วนนั่นเอง  
      
4. งดขนมปัง เน้นข้าว !

          ขนมปังและข้าวเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานเหมือนกัน แต่ขนมปังส่วนใหญ่เป็นแป้งขัดขาว แถมมักจะใส่เนยและเกลือลงไปด้วย ซึ่งอาจไม่ดีกับสุขภาพเท่าไรนักค่ะ ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงเลือกทานข้าวมากกว่าขนมปัง เพราะได้ประโยชน์และพลังงานครบถ้วน ตรงกับสไตล์ของคนไทยเลย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้เราลดน้ำหนักได้
        
5. มื้อเช้ามื้อสำคัญ เพิ่มพลังด้วยซุปมิโสะ
          มื้อเช้าถือเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดสำหรับคนญี่ปุ่น และเป็นมื้อที่สำคัญมากต่อคนที่กำลังไดเอตด้วย เพราะถ้าเราอดมื้อเช้า ก็จะทำให้เราอยากทานมื้อเที่ยงเพิ่มมากขึ้น ทีนี้ล่ะจะทำให้น้ำหนักขึ้นเอาได้ง่าย ๆ และเคล็ดลับมื้อเช้าของชาวญี่ปุ่นก็คือ นอกจากจะทานปลา ข้าว ออมเล็ต สาหร่ายทะเลแล้ว จะต้องดื่มซุปมิโสะด้วยค่ะ เพราะซุปมิโสะมีโพรไบโอติกสูง และยังช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกายของเราพร้อมลุยงานตลอดทั้งวัน

6. ลดขนมหวานลงสักนิด
          เป็นที่รู้กันดีว่าขนมหวานที่ทำจากน้ำตาลเป็นศัตรูตัวฉกาจของคนที่อยากลดน้ำหนักเลยค่ะ ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงแทบจะไม่เสิร์ฟขนมหวานหลังมื้ออาหารเลย หรือถ้าจะทานก็ทานเพียงนิดเดียวเท่านั้น และมักจะเลือกทานขนมหวานที่ไม่มีน้ำตาล หรือน้ำตาลน้อย ไขมันต่ำ หรือไม่ก็เสิร์ฟเป็นผลไม้แทน เพราะผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามิน แร่ธาตุ และยังมีน้ำตาลน้อยกว่าขนมหวาน จึงเป็นมิตรกับน้ำหนักของเรามากกว่า
        
7. เคี้ยวช้า ๆ และกินแค่ 80%

          วิธีการกินอาหารก็มีส่วนสำคัญในการลดน้ำหนักสำหรับชาวญี่ปุ่นด้วย โดยชาวญี่ปุ่นจะเน้นกินคำเล็ก ๆ เคี้ยวช้า ๆ ละเอียด ๆ ใช้จานชามขนาดเล็ก คงรสชาติอาหารแบบธรรมชาติ ปรุงและตกแต่งน้อย อาหารแต่ละประเภทต้องแยกจานกัน  และแต่ละจานต้องไม่มีมากจนเกินไป

          นอกเหนือจากนี้ชาวญี่ปุ่นยังกินอาหารให้พออิ่มแค่ 80%  โดยใช้วิธีหยุดก่อนที่จะอิ่มเต็มที่ และรอสัก 20 นาทีเพื่อให้แน่ใจว่าอิ่มจริง ๆ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เราอิ่มพอดี ไม่แน่นจนเกินไป แถมได้กินอาหารในปริมาณที่จำเป็นต่อร่างกายและทานในปริมาณน้อยลงด้วย
        
8. มีทัศนคติที่ดีในการลดน้ำหนัก

          ชาวญี่ปุ่นไม่ได้ใช้วิธีลดหรืออดอาหารอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะพวกเขาเชื่อว่าการทานอาหารที่ดีและหลากหลายได้อย่างมีความสุขร่วมกับการออกกำลังกายต่างหากล่ะคะ ถึงเป็นการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ดังนั้นแล้วทัศนคติที่ดีในการลดน้ำหนักจึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
        
9. ออกกำลังกายด้วย
          แน่นอนว่าวิธีการลดน้ำหนักที่สำคัญนอกจากเรื่องอาหารแล้ว ก็คือการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ลดน้ำหนักเห็นผลและช่วยให้มีรูปร่างที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งชาวญี่ปุ่นก็นิยมออกกำลังกายกันในชีวิตประจำวันของพวกเขาอยู่แล้วค่ะ  ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปทำงาน เดินขึ้นบันได หรือการปั่นจักรยานที่ถือเป็นยานพาหนะที่สำคัญของญี่ปุ่นเลยทีเดียว นั่นจึงทำให้ชาวญี่ปุ่นลดแคลอรีได้ง่าย ๆ ทำให้ไม่อ้วน แถมยังเป็นไลฟ์สไตล์ที่ดี และช่วยลดมลพิษจากรถยนต์อีกด้วย
        
          ทั้งหมดนี้ถือเป็นแนวทางที่ดีในการลดน้ำหนักซึ่งสาวไทยอ่านแล้วจะนำเคล็ดลับของสาวญี่ปุ่นไปปรับใช้ดูก็ได้นะคะ ลองทำตามดูเริ่มจากวันละข้อสองข้อ รับรองว่าอีกไม่นานได้มีหุ่นสวย ๆ เหมือนกับสาวญี่ปุ่นแน่ ๆ

       
ขอบคุณข้อมูลจาก
brightside.me
livestrong.com