5 บัญญัติ จัดสมดุลกายใจ (Lisa)
"การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่ให้ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่" คุณเคยรู้สึกมั้ยว่าบางครั้งคุณมักเก็บเรื่องต่างๆ มาเป็นความกังวลจนสลัดทิ้งไปจากสมองไม่ได้ ลองค้นหาความสงบสุขด้วยเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ แล้วเรื่องรกใจก็จะถูกขจัดออกไปโดยอัตโนมัติ
1. พูดคุยถึงสิ่งดีๆ
เวลามีความโกรธก็ต้องพูดออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพูดเรื่องขุ่นเคืองอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ยอมสลัดทิ้งไป คุณควรทิ้งความโกรธเคืองหลังจากที่คุณได้พูดระบายความอัดอั้นออกมาแล้ว และควรพูดคุยกับผู้ร่วมงานและคนในครอบครัวในเรื่องที่ช่วยจรรโลงจิตใจ เพราะนักวิชาการค้นพบว่า ความคิดในเรื่องหนึ่งๆ มีส่วนจูงใจกับความคิดของเราด้วย นั่นคือถ้าใครพูดคุยเรื่องบันเทิงใจจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีแก่จิตใจไปด้วย
2. ยิ้มเข้าไว้ใจใสปิ๊ง
ลองยิ้มอย่างสดใสจากความรู้สึกภายใน เพราะความร่าเริงจะเปล่งรัศมีเจิดจรัสให้ผู้คนรอบข้างสัมผัสได้ ดังนั้น คุณจึงควรให้ความเป็นมิตรกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือกับแคชเชียร์ในห้างสรรพสินค้า ลองทำดูเพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ในเมื่อถ้าเรายิ้มให้ คงไม่มีใครตีหน้าบึ้งเข้าใส่แน่ นอกจากนี้การยิ้มยังเป็นการป้อนโปรแกรมอารมณ์ดีให้ร่างกายโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ยิ้ม มุมปากจะยกสูงขึ้น และเป็นการปลุกเส้นประสาทเฉพาะส่วนซึ่งส่งสัญญาณไปให้สมองอีกทีหนึ่ง แล้วฮอร์โมนแห่งความสุขก็จะหลั่งออกมาจากสมองทันที
3. น้ำผึ้งเพิ่มพลัง
บางครั้งคุณคงรู้สึกเหนื่อยล้าและไร้เรี่ยวแรงอย่างนี้ต้องให้คุณหมอน้ำผึ้งช่วยด้วยการรับประทานน้ำผึ้งวันละ 1 ช้อนชา เพราะน้ำผึ้งนอกจากจะให้รสชาติที่เอร็ดอร่อยแล้วยังให้พลังงานด้วย เนื่องจากสารอาหารจากน้ำผึ้งจะเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรง จึงทำให้เกิดพลังและมีสมาธิ นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารแอนตี้แบคทีเรีย มีวิตามิน แร่ธาตุ เอ็นไซม์ และฮอร์โมนมากมาย ที่ทำให้หัวใจและระบบประสาทแข็งแรงขึ้น และยังไปปลุกภูมิคุ้มกันให้ขยันทำงาน และช่วยทำให้การย่อยอาหารดีขึ้นด้วย
4. หายใจให้มีสุข
การหายใจคือชีวิตและความสุข แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเรามักหายใจตี้นเกินไป ดังนั้นคุณควรฝึกกายหายใจวันละ 3 นาที จะทำให้ร่างกายและจิตใจมีความสุขอย่างสมดุล
การฝึกหายใจ ยืนตัวตรง ยกมือประสานกันครึ่งๆ ให้อยู่ระดับเหนือสะดือ หายใจเข้าพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปที่จมูก ขณะที่คุณหายใจเข้าและยกมือขึ้น เท่ากับว่าคุณกำลังดึงลมหายใจจากท้องไปที่หน้าอก และให้ลมหายใจขึ้นไปสูงกว่านี้ และเมื่อหายใจออกก็ยกมือลงในระดับเดิมขณะที่กำลังหายใจออกให้คุณวาดภาพว่าคุณกำลังปลดปล่อยความเครียดและความทุกข์กังวลให้ออกไปพร้อมกับลมหายใจ
5. กระโดดเชือก ทางเลือกที่สนุก
เราทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้วว่าการออกกำลังกายรวมทั้งการได้เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอๆ นั้นให้ประโยชน์กับร่างกายมหาศาล แต่จะมีสักกี่คนที่มีเวลาและรู้สึกอยากออกกำลังกายบ้าง หากจะแนะนำว่าให้วิ่งจ๊อกกิ้งตอนเย็น 2 วันครั้งน่ะหรือ คุณคงบอกว่าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่การได้ออกกำลังกายบ้างเป็นสิ่งที่สำคัญแก่สุขภาพ เพราะนอกจากจะทำให้หุ่นเพรียวโดยไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนแล้ว ยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายและโครงสร้างของกระดูกแข็งแรงอีกด้วย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มาก นอกจากนี้การเล่นกีฬาก็เป็นการฝึกให้ร่างกายมีพลัง ทำให้กระดูกแข็งแรงเป็นการช่วยป้องกันโรคฮิตติดอันดับคือ โรคกระดูกพรุน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬา เราอยากแนะนำให้กระโดดเชือกก็ยังดี
ข้อแนะนำ ควรกระโดดเชือกวันละ 3 นาที ทุกวัน จะทำให้ชีพจรเต้นเร็วขึ้น ระบบการหมุนเวียนโลหิตแข็งแรง และทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น หรือถ้าไม่ชอบกระโดดเชือกก็อาจเดินเล่นด้วยการใช้จังหวะในการเดินเร็ว ฉกฉวยโอกาสในการเดินทุกครั้ง เช่น เดินไปซื้อของ เดินขึ้นบันไดหนึ่งขั้น เพราะเป็นการประหยัดพลังงานและทำให้คุณได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย
เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ
1. พูดคุยถึงสิ่งดีๆ
เวลามีความโกรธก็ต้องพูดออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพูดเรื่องขุ่นเคืองอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ยอมสลัดทิ้งไป คุณควรทิ้งความโกรธเคืองหลังจากที่คุณได้พูดระบายความอัดอั้นออกมาแล้ว และควรพูดคุยกับผู้ร่วมงานและคนในครอบครัวในเรื่องที่ช่วยจรรโลงจิตใจ เพราะนักวิชาการค้นพบว่า ความคิดในเรื่องหนึ่งๆ มีส่วนจูงใจกับความคิดของเราด้วย นั่นคือถ้าใครพูดคุยเรื่องบันเทิงใจจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีแก่จิตใจไปด้วย
2. ยิ้มเข้าไว้ใจใสปิ๊ง
ลองยิ้มอย่างสดใสจากความรู้สึกภายใน เพราะความร่าเริงจะเปล่งรัศมีเจิดจรัสให้ผู้คนรอบข้างสัมผัสได้ ดังนั้น คุณจึงควรให้ความเป็นมิตรกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือกับแคชเชียร์ในห้างสรรพสินค้า ลองทำดูเพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ในเมื่อถ้าเรายิ้มให้ คงไม่มีใครตีหน้าบึ้งเข้าใส่แน่ นอกจากนี้การยิ้มยังเป็นการป้อนโปรแกรมอารมณ์ดีให้ร่างกายโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ยิ้ม มุมปากจะยกสูงขึ้น และเป็นการปลุกเส้นประสาทเฉพาะส่วนซึ่งส่งสัญญาณไปให้สมองอีกทีหนึ่ง แล้วฮอร์โมนแห่งความสุขก็จะหลั่งออกมาจากสมองทันที
3. น้ำผึ้งเพิ่มพลัง
บางครั้งคุณคงรู้สึกเหนื่อยล้าและไร้เรี่ยวแรงอย่างนี้ต้องให้คุณหมอน้ำผึ้งช่วยด้วยการรับประทานน้ำผึ้งวันละ 1 ช้อนชา เพราะน้ำผึ้งนอกจากจะให้รสชาติที่เอร็ดอร่อยแล้วยังให้พลังงานด้วย เนื่องจากสารอาหารจากน้ำผึ้งจะเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรง จึงทำให้เกิดพลังและมีสมาธิ นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารแอนตี้แบคทีเรีย มีวิตามิน แร่ธาตุ เอ็นไซม์ และฮอร์โมนมากมาย ที่ทำให้หัวใจและระบบประสาทแข็งแรงขึ้น และยังไปปลุกภูมิคุ้มกันให้ขยันทำงาน และช่วยทำให้การย่อยอาหารดีขึ้นด้วย
4. หายใจให้มีสุข
การหายใจคือชีวิตและความสุข แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเรามักหายใจตี้นเกินไป ดังนั้นคุณควรฝึกกายหายใจวันละ 3 นาที จะทำให้ร่างกายและจิตใจมีความสุขอย่างสมดุล
การฝึกหายใจ ยืนตัวตรง ยกมือประสานกันครึ่งๆ ให้อยู่ระดับเหนือสะดือ หายใจเข้าพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปที่จมูก ขณะที่คุณหายใจเข้าและยกมือขึ้น เท่ากับว่าคุณกำลังดึงลมหายใจจากท้องไปที่หน้าอก และให้ลมหายใจขึ้นไปสูงกว่านี้ และเมื่อหายใจออกก็ยกมือลงในระดับเดิมขณะที่กำลังหายใจออกให้คุณวาดภาพว่าคุณกำลังปลดปล่อยความเครียดและความทุกข์กังวลให้ออกไปพร้อมกับลมหายใจ
5. กระโดดเชือก ทางเลือกที่สนุก
เราทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้วว่าการออกกำลังกายรวมทั้งการได้เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอๆ นั้นให้ประโยชน์กับร่างกายมหาศาล แต่จะมีสักกี่คนที่มีเวลาและรู้สึกอยากออกกำลังกายบ้าง หากจะแนะนำว่าให้วิ่งจ๊อกกิ้งตอนเย็น 2 วันครั้งน่ะหรือ คุณคงบอกว่าแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่การได้ออกกำลังกายบ้างเป็นสิ่งที่สำคัญแก่สุขภาพ เพราะนอกจากจะทำให้หุ่นเพรียวโดยไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนแล้ว ยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายและโครงสร้างของกระดูกแข็งแรงอีกด้วย เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มาก นอกจากนี้การเล่นกีฬาก็เป็นการฝึกให้ร่างกายมีพลัง ทำให้กระดูกแข็งแรงเป็นการช่วยป้องกันโรคฮิตติดอันดับคือ โรคกระดูกพรุน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬา เราอยากแนะนำให้กระโดดเชือกก็ยังดี
ข้อแนะนำ ควรกระโดดเชือกวันละ 3 นาที ทุกวัน จะทำให้ชีพจรเต้นเร็วขึ้น ระบบการหมุนเวียนโลหิตแข็งแรง และทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น หรือถ้าไม่ชอบกระโดดเชือกก็อาจเดินเล่นด้วยการใช้จังหวะในการเดินเร็ว ฉกฉวยโอกาสในการเดินทุกครั้ง เช่น เดินไปซื้อของ เดินขึ้นบันไดหนึ่งขั้น เพราะเป็นการประหยัดพลังงานและทำให้คุณได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย
เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ