x close

7 คดีน่าเศร้า...เหยื่อเมาแล้วขับ


เมาแล้วขับ

          ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการตายจากอุบัติเหตุสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมาแล้วขับ  นับเป็น 1 ใน 4 ของอุบัติเหตุบนท้องถนนทั้งหมดของประเทศไทย ในทุก ๆ ปี มีเหยื่อผู้ต้องสังเวยชีวิตให้กับผู้ดื่มเครื่องดื่มน้ำเมา มากถึง 2,800-3,500 คน/ปี และคงเป็นเรื่องน่าเศร้า หากใครคนหนึ่งคนใดในนั้น เป็นคนที่คุณรักหรือคนในครอบครัวของคุณ

          เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของ "เหยื่อ" เมาแล้วขับ ที่ได้บอกเล่าประสบการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตของตน พวกเขาทุกคนต้องเผชิญกับชะตากรรมที่พลิกผันและถูกดับฝันไปตลอดกาล

1. เรื่องราวของ "น้องแอ๊ด" หรือ ด.ช.อดิศักดิ์ ขาวพู่

          เด็กชายตัวน้อยผู้ต้องประสบอุบัติเหตุจากเหตุคนขับรถโดยสารที่มีอาการเมาสุราขับรถพุ่งชนรถซาเล้งที่มีพ่อเป็นคนขับ โดยมีแม่และน้องแอ๊ดในวัยเพียง 2 ขวบนั่งอยู่ที่รถ เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้พ่อและแม่ของน้องแอ๊ดเสียชีวิตคาที่ ขณะที่น้องแอ๊ดกระเด็นออกจากรถ หลังกระแทกกับทางเท้า ลำไส้ทะลุ ม้ามแตก และทำให้น้องแอ๊ดกลายเป็นคนพิการไม่สามารถเดินได้นับแต่นั้นมา

          หลังสูญเสียทั้งพ่อและแม่จากเหตุการณ์ในคราวเดียว ทำให้น้องแอ๊ดเหลือเพียงแค่ตาคนเดียว ซึ่งไม่มีความรู้ในการดูแลเด็กพิการ ประกอบกับความยากจนทำให้บางครั้งน้องแอ๊ดถูกตาพาไปนั่งขอทานตามถนน เนื้อตัวมีแผลเต็มตัวและเริ่มเป็นหูน้ำหนวก

          น้องแอ๊ดเล่าว่า "ผมเดินไม่ได้มาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะมีคนเมาขับรถมาชนพ่อกับแม่จนเสียชีวิต ตอนนั้นจำความไม่ได้เพราะยังเด็กมาก แต่ตอนนี้ผมช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน และเข็ญรถเข็ญไปไหนมาไหน เวลาว่างผมจะชอบวาดภาพ เช่น การ์ตูน ภูเขา ต้นไม้ หรือภาพพ่อกับแม่ตามจินตนาการ บางทีก็ไปดูเพื่อน ๆ เล่นฟุตบอล ว่ายน้ำ บางครั้งก็อยากเล่นกับเพื่อน แต่ก็รู้ว่าเดินไม่ได้ รู้สึกเสียใจอยากเดินได้ ถ้าขอพรได้อยากขอให้เดินได้เหมือนคนอื่น และถ้าโตขึ้นก็จะไม่ดื่มเหล้า เพราะไม่ชอบคนเมา คนเมาทำให้พ่อกับแม่ต้องตาย"


2. คดี "น้องน้ำมนต์" หรือ น.ส.พิมลรัตน์

          หนึ่งในเหยื่อจากเหตุการณ์รถกระบะพุ่งชนร้านทองเซ่งเฮงหลี เยาวราช สาขาสะพานใหม่ โดยในวันเกิดเหตุน้องน้ำมนต์นั่งอยู่ในร้านขายทองกับคุณแม่ หลังจากเหตุการณ์น้องน้ำมนต์ต้องเจอกับอาการกระดูกหักหลายจุด ทั้งสะโพกหัก ขาซ้ายหัก กระดูกเชิงกรานหัก ข้อแขนซ้ายเคลื่อน เส้นเอ็นขาดที่ไหล่ขวา กระดูกคอเคลื่อน กรามหัก 3 ท่อน เลือดออกในช่องอกข้างขวา ซี่โครงข้างขวาซี่ที่ 4 หัก เป็นเหตุให้ขณะนี้น้องน้ำมนต์เดินไม่ได้ และต้องใช้ของเหลวดูดกินอาหาร

          แม้น้องน้ำมนต์จะกลับมาพักที่บ้านได้แล้วแต่ก็ยังบาดเจ็บอยู่มาก และเนื่องจากอพาร์ทเม้นท์ของครอบครัวซึ่งอาศัยอยู่ชั้น 3 แถวสะพานควาย ไม่มีลิฟต์ ทำให้ต้องมาเช่าห้องอยู่ด้านนอกที่สะดวก เนื่องจากน้องน้ำมนต์เดินไม่ได้ เงินทองที่เก็บมาจึงร่อยหรอ และครอบครัวต้องไปกู้เงินนอกระบบร้อยละ 20 สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายและค่าดูแลรักษา สิ่งที่ได้รับจากความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น มีเพียงค่าชดเชยจากบริษัทประกันภัยในจำนวน 10,000 บาท

3. เหตุการณ์ของ "ธัญวรัฎท์ หิรัณท์ยะคุปต์" เหยื่อเมาแล้วขับที่อาการสาหัสที่สุดในประเทศไทย

          ชีวิตที่ไม่คาดคิดของธัญวรัฎท์ เริ่มต้นในคืนวันที่ 28 ส.ค. 2542 เวลา 20.30 น. หลังกลับไปเยี่ยมบิดาที่โรงพยาบาล ขณะที่กำลังขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านอยู่นั้น เมื่อถึงพระราชวังไกลกังวล ได้เกิดเหตุรถคนเมาสุราไม่ได้สติพุ่งเข้าชนรถจักรยานยนต์ของธัญวรัฎท์

          ขณะเดียวกันรถที่วิ่งตามหลังมาอีกคันเบรกไม่ทัน ชนซ้ำเข้าไปอีก เป็น 3 คันรวด แรงกระแทกจากด้านหลังทำให้ร่างของธัญวรัฎท์ ลอยขึ้นแล้วตกลงเอาหน้าฟาดกับฟุตปาธข้างทาง เหงือกช่องหนึ่งและฟันอีก 4 ซี่หลุดออกไป กระดูกหักไปทั้งตัว ไหปลาร้าหัก กระดูกซี่โครงหักข้างละ 3 ซี่ และกระดูกเชิงกรานหัก รวมทั้งใบหน้าที่แหลกไปหมด เนื่องจากกระดูกภายในร่างกายแตกละเอียด ต้องนอนพักเป็นเวลา 2 เดือนเพื่อให้กระดูกประสานตัว ส่วนที่ใบหน้าต้องผ่าตัดทำศัลยกรรมที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นผลให้ใบหน้ามีเหล็กอยู่ 100 กว่าชิ้น มีนอตอยู่ 38 ตัว และภายในปากหมอเอาลวดร้อยกับเหงือกเพื่อดึงฟันเอาไว้

          หลังจากนั้นเธอต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลหลายรอบ เพราะเกิดการติดเชื้อ จนแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราชต้องผ่าตัดด่วนอีกครั้ง เพราะมีเหล็กที่ใต้ตาติดเชื้อและมีฟันอีกหลายซี่ที่ฝังตามใบหน้า ซึ่งใบหน้าในขณะนั้นแยกออกเป็น 2 ส่วน บนล่าง จมูกแยกเป็น 4 ส่วน ต้องใส่เหล็กบริเวณหางคิ้วทั้งสองข้างเพื่อยึดหน้าเข้าหากัน จากนั้นทางโรงพยาบาลได้ส่งต่อไปรักษาที่อื่น ซึ่งธัญวรัฎท์ ก็ได้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายแห่ง

          โดยระหว่างการรักษาใบหน้าให้กลับมาเหมือนเดิมนั้น จิตใจเริ่มสับสนเกิดความเครียดทั้งทางร่างกายและคดีความ ต้องพบจิตแพทย์ และได้ผ่าตัดใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยการผ่ากระโหลกเปิดหน้าเพื่อเข้าไปเรียงกระดูกใหม่ แต่เมื่อทำจริงแล้วทำได้เพียงข้างเดียว เพราะยากมากต้องระวังการติดเชื้อ จึงหยุดไป ก่อนเริ่มผ่าตัดใหม่อีกครั้งโดยนำเนื้อที่ขาและท้องมาปะที่ใบหน้า

          โดยระหว่างการรักษาเริ่มมีอาการผิดปกติทางสมองและควบคุมตัวเองไม่ได้ ในเรื่องคดีความ ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้ธัญวรัฎท์ชนะคดีได้ค่าเสียหาย 2.5 ล้าน แต่สำนักงานตำรวจฯ ก็ยังอุทธรณ์ต่อ ซึ่งศาลอุทธรณ์ตัดสินให้ชนะความในเวลาต่อมา

          ธัญวรัฎท์ได้กล่าวไว้ว่า "ไม่โกรธที่เขามาชนแล้วทำให้เราเป็นแบบนี้ แต่โกรธที่เขาไม่มีน้ำใจ ขณะที่เราเจ็บอยู่ ได้โทร.ไปบอกให้ช่วยเรื่อง พ.ร.บ. เขากลับบอกว่ายุ่ง และอีกเรื่องที่เสียใจคือ ทั้ง ๆ ที่เขาผิด เขายังจ้างทนายมาสู้กับเรา เขาเห็นสภาพเราแล้วบอกว่า ไม่ได้เจ็บจริง ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่ในขณะที่ศาลสั่งให้เราเป็นคนพิการไปแล้ว เขายังสู้คดีอีก"


4. ครอบครัวนายอุดมพงศ์ สุขสมบูรณ์

          เหตุการณ์ล่าสุด เมื่อช่วงต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ขณะที่ครอบครัวนายอุดมพงศ์ สุขสมบูรณ์ กำลังขับรถล่องใต้เพื่อเยี่ยมญาติ ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ได้เกิดเหตุสุดสลดขึ้น เมื่อผู้เป็นแม่จอดรถริมทางเพื่อเปิดท้ายรถเก๋งยืนชงนมให้ลูกน้อยที่ร้องหิว ริมถนนสายนครศรีฯ-สุราษฎร์ธานี ถูกรถกระบะที่ขับมาด้วยความเร็วสูง ชนท้ายอัดก๊อบปี้ดับอนาถ ในขณะที่ลูกชายได้รับบาดเจ็บ ส่วนคนขับรถกระบะซึ่งอยู่ในอาการเมาสุราได้แอบหลบหนีไป โดยหลังจากเกิดเหตุผู้เป็นแม่ทนพิษบาดแผลไม่ไหว และสิ้นใจตายที่โรงพยาบาล

          โดย "น.ส.เกศรินทร์ กิ่งถาวร" อายุ 32 ปี ผู้เป็นแม่ มีสภาพคอหัก กระดูกซี่โครงหัก ขาหักทั้งสองข้าง และผู้บาดเจ็บ และลูกชายของผู้ตาย ชื่อ ด.ช.กรณัฐ สุขสมบูรณ์ อายุ 3 ขวบ ได้รับบาดเจ็บมีแผลถลอกบริเวณลำตัวและใบหน้า

          เหตุการณ์ในครั้งนั้น นายอุดมพงศ์ สุขสมบูรณ์ อายุ 35 ปี สามีของผู้ตาย ได้เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่ตนกำลังขับรถเก๋งคันดังกล่าวออกจากบ้านจังหวัดนนทบุรี ลงใต้เพื่อเยี่ยมญาติ ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมี น.ส.เกศรินทร์ ภรรยา และลูกชายนั่งมาในรถ


          เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ด.ช.กรณัฐ ลูกชายวัย 3 ขวบ ได้ร้องหิวนม ตนจึงจอดรถริมถนน แล้วให้ น.ส.เกศรินทร์ เดินลงจากรถไปเปิดกระโปรงท้ายรถ แล้วยืนชงนมให้ลูกชาย โดยมีการเปิดไฟกะพริบตลอดเวลา ปรากฏว่าทันใดนั้นได้มีรถกระบะขับตามหลังมาด้วยความเร็วสูงพุ่งชนท้ายรถของตนอย่างจัง ทำให้ชนอัดร่างภรรยาจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา และลูกชายของตนที่นอนเบาะหลังได้รับบาดเจ็บดังกล่าว

          ส่วนคนขับรถกระบะ พบว่าเป็นชายวัยกลางคน มีอาการเมาสุราอย่างหนัก ได้เดินหลบหนีหายไปในช่วงจังหวะชุลมุนนั่นเอง


5. เรื่องราวของคุณบุญชู พวงมาลา และภรรยา ซึ่งเป็นหน่วยอาสาสมัครกู้ภัยปอเต็กตึ้ง

          โดยในขณะที่ทีมงานกู้ภัยทุกคนกำลังปฎิบัติภารกิจช่วยเหลือตำรวจขนรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกคนร้ายนำมาทิ้งไว้ขึ้นรถกระบะเพื่อจะนำไปไว้ที่โรงพักอย่างขะมักเขม้น ได้เกิดเหตุการณ์รถจิ๊ปเชอโรกีที่มีคนเมาแล้วขับพุ่งเข้าชนกลุ่มอาสาสมัครอย่างแรง มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 5 ราย เป็นอาสาสมัคร 4 ราย และผู้ช่วยช่างภาพโทรทัศน์ 1 ราย

          สองรายที่บาดเจ็บสาหัสคือ คุณบุญชูซึ่งถูกอัดติดระหว่างรถทั้งสองคัน และภรรยาซึ่งกระเด็นไถลไปพร้อมกัน ที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือ ในเวลาเดียวกัน ลูกชายของคุณบุญชูซึ่งยืนอยู่อีกฝั่งถนนกำลังจะเตรียมข้ามฟากไปหาพ่อกับแม่ ถึงกับยืนตะลึงกับเหตุการณ์อันน่ากลัวที่เกิดขึ้น ที่ต้องเห็นพ่อกับแม่ถูกรถอัดร่างต่อหน้าต่อตา

          ทันทีที่เหตุการณ์วุ่นวายสงบลง ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยกรูกันเข้าไปดึงตัวคนขับรถคันนั้นออกมา คนขับรถหรูคันนั้นได้แต่เดินส่ายไปส่ายมา แอ่นหน้าแอ่นหลัง พูดจาไม่รู้เรื่อง โดยหากใครได้เห็นภาพในขณะนั้นก็คงเชื่อได้เลยว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายคนนี้ "เมาแล้วขับ" นั่นเอง

นักแข่งแรลลี่ชื่อดังถูกรถชนไฟคลอกดับ พร้อมลูกเมีย
ภาพจาก ข่าวสด

6. ครอบครัวของนายวรพจน์ บุญช่วยเหลือ

          ในวันที่ 4 ตุลาคม 2557 ครอบครัวของ "นายวรพจน์ บุญช่วยเหลือ" อดีตนักแข่งแรลลี่ผู้คว้าแชมป์เอเชียครอสคันทรีแรลลี่ 3 สมัย ต้องสูญเสียนายวรพจน์และครอบครัวให้กับเหตุการณ์เมาแล้วขับอย่างน่าสลดใจ โดยในคืนวันเกิดเหตุ เวลา 01.10 น. นายวรพจน์ขับรถยนต์ยี่ห้อซูซูกิ จิมนี่ รุ่นคาริเบียนขับเคลื่อนสี่ล้อ ซึ่งเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ ได้ชะลอความเร็วลง เพื่อรอการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งจุดตรวจสกัดอยู่

          ทันใดนั้น นายศิวาวุธ มุขธระโกษา อายุ 26 ปี ขับรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สภาพโหลดเตี้ย ขับตามหลังมาด้วยความเร็วสูง ได้พุ่งเข้าชนท้ายอย่างจังโดยไม่ได้เบรกแต่อย่างใด แรงกระแทกเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมเกิดไฟลุกไหม้ที่ด้านท้ายรถยนต์ของนายวรพจน์อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุพยายามใช้น้ำยาเคมีเข้าฉีดสกัดเพลิง แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ จนเวลาผ่านไปกว่า 20 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้

          ตรวจสอบภายในรถพบศพพ่อแม่ลูกถูกไฟคลอกเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีรถยนต์ที่ชะลอการตรวจค้นอีก 2 คัน ที่ขับอยู่ด้านหน้าได้รับความเสียหายและมีผู้ขับขี่ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ซึ่งการสูญเสียครั้งนี้ นับว่าเป็นการสูญเสียบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติอย่างมาก และเป็นอุบัติเหตุเศร้าสลดอีกครั้งที่เกิดจากน้ำมือคนเมาแล้วขับอีกแล้ว

7. เมาแล้วขับชนมอเตอร์ไซค์

          เหตุการณ์ล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อพี่สะใภ้พาน้องสามีวัย 13 ปีไปสอบเข้าเรียน ม.1 และพาไปเที่ยวงานรถไฟ-รถม้าลำปางหลังสอบเสร็จ แต่กลับเคราะห์ร้าย ในขณะที่ทั้งคู่กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านอยู่นั้น กลับถูกคนเมาขับรถกระบะพุ่งชนรถของทั้งคู่พังยับ ขณะที่รถคู่กรณียังพุ่งชนกำแพงบ้านเสียหายกว่า 6 เมตร และหลังเกิดเหตุคนขับได้หลบหนีไปและทิ้งเพื่อนเมาค้างไว้ในรถ

          จากการตรวจสอบพบว่าสถานที่เกิดเหตุค่อนข้างมืดสนิท พบรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สเปซี่ไอ ทะเบียน ลำปาง ล้มอยู่ข้างทางในสภาพพังยับเยินทั้งคัน ใกล้กันพบศพ ด.ช.นรเชรษฐ์ เป็งราช อายุ 13 ปี เสื้อผ้าขาด ใบหน้าป็นแผลเหวอะหวะ และห่างไปประมาณ 20 เมตรพบศพ น.ส.นุชธิดา เป็งราช อายุ 26 ปี ต้นขาขวาเกือบขาด และมีสภาพใบหน้าเละ

          ทั้งนี้ นายทวีวัฒน์ คำเรือง อายุ 21 ปี เพื่อนผู้ขับให้การว่า ตนเองและเพื่อนดื่มเหล้าออกมาจากบ้านและกำลังจะไปเที่ยวต่อในตัวเมือง โดยตนนั่งหลับมาในรถ จนกระทั่งมาเกิดอุบัติเหตุจึงรู้สึกตัว แต่ก็ไม่พบเพื่อนคนขับรถและไม่ทราบว่าหายไปไหนแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายทวีวัฒน์เพื่อทำการสอบสวนต่อไป

          จะเห็นได้ว่า เรื่องราวน่าเศร้าจากเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสียต่อทรัพย์สินและชีวิตของ "เหยื่อ" ผู้เคราะห์ร้ายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงครอบครัวหรือบุคคลรอบข้างที่ล้วนแต่ตกเป็น "เหยื่อร่วม" หลังอุบัติภัยเลวร้ายที่เกิดขึ้น

          ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่มาตรฐานสากลบนท้องถนนที่ควรกำหนดร่วม อาจไม่ใช่ตัวบทกฎหมายอันเป็นเพียงบทลงโทษที่รอการบังคับใช้หลังเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น หากแต่ควรเป็นมาตรฐานทางจิตสำนึกของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน ที่จะต้องประเมินถึงศักยภาพและความสามารถของตนก่อนที่จะขับขี่ทุกครั้ง

          และคงไม่ผิดนัก หากจะบอกว่า การ "ดื่มแล้วขับ" เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเขาทำกัน เพราะหากวันนี้คุณยังเป็นคนหนึ่งที่ดื่มแล้วยังกล้าขึ้นขับจับพวงมาลัยไปต่อได้ คุณควรรู้ไว้ว่า วันที่คุณจะไม่ดื่มแล้วขับนั้น อาจเป็นวันที่คุณได้สูญเสียดวงตา แขนขาหรือร่างกายของคุณไปเสียแล้ว

          ถ้าคุณไม่อยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเหล่านี้ เกิดขึ้นกับคนที่คุณ เชิญร่วมกด Like กด Share คลิปวีดีโอในโครงการ "ดื่มไม่ขับ" ได้ที่ socialmarketingth.org 




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
7 คดีน่าเศร้า...เหยื่อเมาแล้วขับ อัปเดตล่าสุด 11 เมษายน 2558 เวลา 07:03:15 5,585 อ่าน
TOP