x close

ลดน้ำหนักจนสวยเช้ง ! แชร์ประสบการณ์จากอดีตยัยป้าช้างน้ำ หนัก 100 กิโลกรัม






          ลดน้ำหนัก จากประสบการณ์ตรงของ แพรว ตีสิบ จากยัยป้าช้างน้ำ ที่เคยหนักเกือบ 100 กิโลกรัม ! จนทุกวันนี้กลายเป็นสาวสวยเช้งได้ เพราะความมีวินัยต่อตัวเอง !

         "แพรว ตีสิบ" สาวใหญ่วัย 42 ปี หลังจากออกรายการตีสิบในฐานะเจ้าแม่สุดโต่ง ซึ่งเธอได้มาเล่าถึงประสบการณ์การดูแลตัวเองที่เรียกได้ว่าค่อนข้างจะสุดโต่งในทุก ๆ เรื่อง ทั้งนี้การเล่าเรื่องราวในวันนั้นถือเป็นเพียงแค่มุมหนึ่งในชีวิตของเธอ และยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่เธอยังไม่เคยบอก ไม่ว่าจะเป็น จุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง วิธีการลดน้ำหนักจากที่เคยเป็นยัยป้าช้างน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม จนปัจจุบันน้ำหนักเพียง 52 กิโลกรัม แถมยังผิวพรรณดีขึ้นและสวยขึ้นมาก ซึ่งจนกว่าจะมาถึงวันนี้ เธอจะมีวินัยในการดูแลและเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร มาติดตามภาคต่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองจนสวยเช้งของคุณแพรว ตีสิบ (จาก 2366593 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม) กันเลยค่ะ




          ขออนุญาตแนะนำตัวนะคะ ดิฉันชื่อ แพรว ณัฏฐณิชชา ปารมีสิริกุลธร ปัจจุบันอายุ 42 ปี หลายคนอาจจะรู้จักแพรวในฐานะนักธุรกิจ กูรูด้านความงาม หรืออาจจะรู้จักจากรายการตีสิบในฐานะเจ้าแม่จอมสุดโต่ง หรืออะไรก็ตาม แต่วันนี้ที่อยากจะมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านคือประสบการณ์ส่วนตัว ในการลดน้ำหนักและเปลี่ยนแปลงตัวเอง รวมถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

          อันนี้เป็นกระทู้แรกของแพรวในพันทิป ที่ต้องมาเล่าในนี้ก็สืบเนื่องจากแพรวได้มีโอกาสออกรายการตีสิบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เดิมทีตั้งใจว่าจะไปพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นหลัก เพราะแพรวเองมีประสบการณ์ตรง แต่ทางรายการเขาค่อนข้างสนใจอยากโฟกัสไปในเรื่อง "ความเยอะ/ความสุดโต่ง" ซะมากกว่า สงสัยเขาคงเห็นว่าเป็นเรื่องแปลก เช่น เรื่องต้องมีคนอาบน้ำให้ บ้าสะสมกระเป๋า หรือ เรื่องบ้าความสะอาดชนิดที่จะต้องลวกผลไม้ก่อนทาน หรือแม้แต่เรื่องยอมให้มีเส้นผมหล่นในบ้านไม่ได้ จนผู้ชมหลาย ๆ คนที่ดูรายการวันนั้นก็คงงงว่า สรุปยัยผู้หญิงคนนี้เธอไปเพ้อเรื่องอะไรในรายการ และอะไรคือสาระของรายการวันนั้นกันแน่ บางคนก็ไปคอมเม้นท์ด่าเสีย ๆ หาย ๆ ในเพจรายการ แพรวอ่าน feedback แล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ เลยคิดว่า เพื่อให้ตรงกับจุดมุ่งหมายแรกของแพรวจริง ๆ ที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ ก็น่าจะดีซะกว่าถ้ามาเล่าเองซะเลย



เทปรายการในวันนั้น

          ในอดีตแพรวเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักมาโดยตลอด เพราะเป็นคนที่โครงร่างใหญ่ ประกอบกับไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะต้องทำงานตลอด และที่สำคัญคือ แพรวเป็นคนที่ชอบทานของหวาน และของมัน ๆ มาก ๆ โดยอาหารโปรดของแพรวก็คือ "ข้าวขาหมู" ที่เรารู้กันดีว่าไขมันเยอะขนาดไหน แต่เพราะความอร่อยของมันนั่นแหละที่ทำให้ใครหลาย ๆ คน รวมถึงแพรวก็ชอบกินบ่อย ๆ อย่างน้อย ๆ อาทิตย์หนึ่งต้อง 2-3 มื้อแน่ ๆ และกินขาหมูคาว ๆ เสร็จปุ๊บ ตามนิสัยคนไทยเราก็ต้องตบท้ายด้วยของล้างปาก ถ้าไม่ขนมหวาน ก็ต้องเป็นชานมเย็น ๆ อ้วนกันเข้าไป แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอยากสวยอะไร แถมเรายังทำงานเปิดร้านอาหาร เราคุมครัวเอง ก็คิดไปว่ามันก็ต้องอ้วนกันเป็นธรรมดา

          แต่จุดพลิกผันของแพรว ที่ทำให้แพรวต้องหันกลับมาดูแลตัวเองนั้นเป็นเรื่องธุรกิจ ไม่ได้เกี่ยวกับความรัก หรืออกหักรักคุดเหมือนคนอื่น ๆ เขา แต่เกิดจากเมื่อสิบปีที่แล้วแพรวทำธุรกิจความงาม นวดไทย นวดตัว นวดหน้า ตอนนั้นทำเป็นร้านเล็ก ๆ ย่านชานเมือง ทำไปทำมาคนเริ่มติด ลูกค้าเยอะ เลยต้องขยายเป็นร้านใหญ่ พอขยายปุ๊บเราก็ต้องมีคอร์ส มีอะไรสารพัดเพื่อดึงให้ลูกค้าเขามาใช้บริการเรื่องความงามกับเรา ทีนี้ลุคแบบป้าอ้วน ๆ เป็นคนคุมครัวชักไม่ได้การแล้วสิ ตอนนั้นเพื่อนที่เค้าเห็นสารรูปเราเขายังหัวเราะเลยว่าเราท่าจะไปไม่รอด เขายังเคยพูดทำนองว่า "หุ่นอย่างกับช้างน้ำ หนักเกือบร้อยกิโล แต่ดันมาขายคอร์สกระชับผิว" (ตอนนั้นแพรวหนัก 96 กิโลกรัม)



ลองดูหุ่นกับผิวพรรณของเจ้าของสปาสิคะ 5555

          และสิ่งที่มาคู่กับความอ้วนเลยก็คือ "หน้าแก่" อันนี้เรื่องจริงมาก ๆ ลองสังเกตได้เลยว่า เวลาเราอ้วน ๆ เนี่ย หน้าเราจะไปก่อนอายุจริงเสมอ ๆ แพรวเจอปัญหานี้หนักมาก ยิ่งแพรวไม่เคยดูแลตัวเองเพราะมัวอยู่แต่ในครัวผิวหยาบกร้าน ก็ยิ่งไปกันใหญ่ สมัยก่อนแพรวไปไหนมาไหนกับแม่ คนนึกว่าเป็นพี่น้อง ไม่ก็เป็นเพื่อนรุ่นไล่ ๆ กัน หลายครั้งเสียเซลฟ์มาก บอกเลย เพราะเรากับแม่ก็ห่างกันเป็นสิบ ๆ ปี เจอใครทักแบบนี้บ่อย ๆเข้าเราก็เป๋ แต่หลังจากลดน้ำหนักแล้ว เห็นได้ชัดว่าเราดูอายุน้อยลง (แต่อายุจริงก็ยังเดินหน้านะคะ) เพราะใบหน้าเราจะเข้ารูปขึ้น กระชับได้สัดส่วน 



ลองสังเกตรูปหน้านะคะ ซ้ายมือคือตอนอายุ 35 ขวามือคืออายุ 42

          และอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้แพรวคิดว่าต้องลดน้ำหนักเดี๋ยวนั้น ก็เพราะปัญหาด้านสุขภาพ แพรวเป็นโรคความดันต่ำ และเป็นหนักชนิดที่ว่าเดิน ๆ อยู่ถ้าก้มมองอะไรก็สามารถวูบลงไปได้เลย ก้มไปใส่รองเท้า หรือก้มลงไปอาบน้ำล้างเท้า ก็ล้มลงไปตรงนั้นได้ไม่ยาก และเคยล้มในห้องน้ำด้วย จนหมอบอกว่าคุณต้องลดน้ำหนักเลยเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณมีสิทธิ์เป็นอัมพาตเพราะหัวฟาดพื้นได้

          มาถึงตรงนี้ไม่ลดก็ไม่ได้แล้ว "ของฉันก็ต้องขาย และฉันก็ยังไม่อยากตาย" แพรวบอกตัวเองแบบนี้เลยจริง ๆ

          จากนั้นมาก็เอาเลย แพรวใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะลด ยอมรับว่าค่อนข้างหักดิบมาก ตอนนั้นหยุดทุกอย่างทั้งของหวาน และน้ำหวานทุกชนิด แพรวไม่แตะเลย ลดข้าวลงครึ่งหนึ่ง และหันไปกินข้าวกล้องหอมนิลแทน หยุดกินของมัน ๆ แทบทุกอย่าง กับข้าวตอนนั้นก็เป็นน้ำพริกปลาทู และผักลวกเยอะ ๆ แต่ก็ยังทานสามมื้ออยู่เป็นปกติ ส่วนเมนูโปรดของแพรวคือ ข้าวขาหมู ยอมให้ได้แค่อาทิตย์ละครั้ง แต่ครึ่งจานและไม่ทานหนังเลย

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ อาหารทุกมื้อต้องจบที่ 4 โมงเย็นเท่านั้น !

และจะไม่มีการทานอาหารหลังจากนั้น ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น !!!

อันนี้เป็นกฎที่แพรวเคร่งครัดมาก


          ถ้าหิวมากก็ยอมได้แค่ผลไม้ เช่น ฝรั่ง หรือ สับปะรด เท่านั้น ผลไม้อื่น ๆ แพรวงดหมด กลางคืนก็ทานได้แค่น้ำเปล่า มีหลายช่วงที่แทบจะตบะแตก แต่ก็ต้องห้ามใจ และบอกให้คนข้าง ๆ เราช่วยให้กำลังใจเรา และที่สำคัญคือให้เขาช่วยย้ำเป้าหมายเราเสมอว่าเรากำลังลดน้ำหนักอยู่นะ

หลายคนลดน้ำหนักไม่สำเร็จก็เพราะคนรอบข้างเรานี่แหละ ตัวดีเลย

ชอบมายุเราว่า "ไม่เป็นไรหรอก" / "ทานหน่อยน่า" / "นิดเดียวไม่อ้วนหรอก"

คำพูดแบบนี้แหละที่ทำให้เราเผลอใจ หลุดจากแผนลดน้ำหนักเราได้ง่าย ๆ

          นอกจากนี้ แพรวออกกำลังกายด้วยการตีแบดมินตัน และเดินลู่วิ่งบ้าง อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง (อยากจะออกมากกว่านี้ แต่แพรวไม่ค่อยมีเวลา เรามันคนทำงาน) รวมถึงกินวิตามินรวม + เกลือแร่ (ไม่ให้เพลีย) และอาหารเสริมด้วย (เพื่อนที่เป็น R&D เขาจัดมาให้ พวก L-Carnitine/Q10 ฯลฯ) แต่เรื่องอาหารเสริมนี่สำคัญ แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักนะคะ ใช้ร่วมกับการออกกำลังกายเฉย ๆ แต่ถ้าไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย อาหารเสริมไหน ๆ ก็ช่วยคุณไม่ได้หรอกค่ะ โลกนี้ไม่มีการผอมทางลัด แพรวเนี่ยกล้ายืนยัน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง จะแอโรบิก จะวิ่ง หรือจะแกว่งแขนแกว่งขาบ้างเล็ก ๆ น้อยก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำเลยนะคะ



ลดมาได้ไม่กี่กิโลกรัม รูปหน้าเริ่มกระชับนิดหนึ่ง

          สิ่งหนึ่งที่เป็นเคล็ดลับเลยก็คือว่า การลดน้ำหนัก หรือ เรื่องความงามอื่นใดนั้น เป็นเรื่องของ "วินัย" คือ ต้องทำซ้ำ ๆ ต้องอยู่ในกรอบ ต้องควบคุมตัวเอง บังคับตัวเองให้ได้ ถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีความหมาย ทำอะไรเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จเลย

          ตลอดสองเดือนกว่า ๆ ที่แพรวโหมออกกำลังกายและคุมอาหารนั้น บอกเลยว่าเหนื่อยมาก หลายครั้งท้อ แต่ต้องกัดฟันทน เพื่องานและเพื่อสุขภาพจริง ๆ และผลลัพธ์ที่ต้องลำบากลำบนฝ่าฟันมาก็คือ... แพรวลดน้ำหนักลงไป 28 กิโลกรัม จาก 96 เหลือเพียงแค่ 68 เท่านั้น นิ่งอยู่ที่ตรงนั้นอยู่นาน จนผ่านมาเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ ลงทีละนิด ๆ ค่อย ๆ ลดแบบไม่เร่งรีบแล้ว ไม่ Cheat day บ่อยขึ้นเพื่อให้รางวัลตัวเอง แต่กฎห้ามกินหลัง 4 โมงเย็นก็ยังมีอยู่ จนต่อมา น้ำหนักแพรวจึงมาหยุดนิ่งอยู่ที่ 47 กิโลกรัมเท่านั้น ลดลงไปทั้งสิ้น 49 กิโลกรัม ถ้วน !!!

          จากนั้นพอน้ำหนักเราอยู่ตัว แพรวก็เริ่มมาจัดการผิวที่หยาบกร้านของตัวเอง พูดเลยว่าทำทุกอย่าง ทั้งสครับขัดผิว ทรีทเม้นท์ ทั้งครีม ทาทุกวัน เช้าเย็นไม่เคยขาด เพราะเรารู้ดีว่าของแบบนี้ถ้าใช้เป็นช่วง ๆ แล้วหยุดใช้ มันก็กลับมาเหมือนเดิม ผิวคนนะคะ พ่อแม่ให้มา ไม่มีครีมวิเศษชนิดไหนที่ทาปุ๊บเด้งไปทั้งชาติ ถ้าใครบอกคุณว่าครีมหลอดเดียวเปลี่ยนผิวให้เด้งได้ตลอดกาล อย่าไปเชื่อค่ะ มันไม่มีจริง ถามว่าสีผิวเปลี่ยนได้ไหม เปลี่ยนได้ค่ะ แต่ต้องดูแลอยู่ตลอด ไม่ดูแลก็พัง กลับไปเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน แพรวอาจจะพูดขวานผ่าซากหรือพูดแรงไปหน่อย แต่เรื่องอันนี้คือเรื่องจริง ฉะนั้นใครก็ตามถ้าคิดจะบำรุงด้วยวิธีนี้ จำไว้เลยว่า เราต้องทำไปตลอด อย่าหยุด คุณจะทาครีมอะไรก็ทาไป แต่ถ้าคิดจะทาแล้ว ก็ต้องทาไปให้ตลอด หยุดเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็กลับไปเหมือนเดิมอยู่ดี

และนี่คือผลลัพธ์ของสิ่งที่แพรวทุ่มเท



นี่คือภาพตอนแพรวน้ำหนัก 47 กิโลกรัม

          แต่หลังจากนั้นมาก็เริ่มมีคนทักว่าผอมไป รวมถึงเจอซินแสท่านหนึ่งที่เป็นหมอดูชื่อดังมาก ๆ ของไทย เขาก็ทักแพรวว่าทำไมปล่อยให้ผอมแบบนี้ ดวงเธอนะจะดีเธอต้องมีน้ำมีเนื้อ ถ้าผอมไปชีวิตจะไม่ราบรื่น ไปกินให้อวบ ๆ หน่อยไป๊ เค้าไล่เราไปกิน เราก็เชื่อของแบบนี้ (ซินแสท่านนี้ดังมาก เป็นซินแสประจำตัวเจ้าสัวดัง ๆ ในเมืองไทย) ยิ่งตอนนั้นช่วงที่ลดน้ำหนักจนผอมก็มีแต่เรื่องวุ่น ๆ ในชีวิต จนแล้วจนรอดก็เลยทานเพิ่ม จนน้ำหนักมาหยุดที่ 52 กิโลกรัมในปัจจุบัน



รูปปัจจุบัน

ผลลัพธ์ที่แพรวได้จากการเปลี่ยนตัวเอง

ทุกวันนี้ชีวิตเปลี่ยนค่ะ เปลี่ยนในหลายเรื่องมาก ๆ

          ข้อแรกเลยคือ ความมั่นใจ เวลาพรีเซ็นต์นำเสนอ ขายของ หรือทำอะไร เรามั่นใจมากกว่าแต่ก่อนเยอะมาก เรากล้าออกทีวี เรากล้าพูดเรื่องความงาม ทั้งที่สมัยก่อนตอนทำธุรกิจแรก ๆ ไม่กล้าบอกใครเลยด้วยซ้ำว่าเราเป็นเจ้าของกิจการ กลัวคนเขาจะหัวเราะเยาะเรา เพราะลุคเราไม่ให้ แต่ทุกวันนี้พูดได้เต็มปาก และก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีกิจการหลายสาขา มีทรัพย์สินมากพอสมควร จนเริ่มเป็นผู้ให้กลับคืนสังคมได้บ้างแล้ว ถ้าโอกาสเหมาะสมคงได้มาแชร์ประสบการณ์อีกเช่นเคย

          ข้อที่สองคือ เสื้อผ้าหาง่ายมากกกกก แต่ก่อนนี่แพรวลำบากทุกที เพราะต้องวิ่งไปหาเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ เดี๋ยวนี้เจอตรงไหนสวยก็ซื้อได้เลย และคำถามที่มักจะเคยเจอบ่อย ๆ ในอดีตก็คือ "เสื้อผ้าไซส์นี้ไปซื้อที่ไหนมา ?" คำถามแบบนี้แม้เจ้าตัวเขาจะอยากรู้จริง ๆ แต่มันทำร้ายจิตใจคนหุ่นแบบเรามากนะคะ ใครไม่เคยอ้วนไม่เข้าใจหรอก

          ข้อที่สามคือ สุขภาพ อันนี้ถือว่าสำคัญที่สุดแล้ว เพราะเงินทองมากมายแค่ไหน ก็เอาสุขภาพเราคืนมาไม่ได้ อาการความดันต่ำและวูบบ่อย ๆ ที่แพรวเคยเป็นบ่อย ๆ หายไปเยอะมาก ไม่ต้องพึ่งยา ไม่ต้องหาหมอบ่อย ๆ จะเดินจะยืนนาน ๆ ก็ไม่เมื่อยขา ไม่ปวดเข่าง่ายเหมือนแต่ก่อนแล้ว



          ยังไงก็อยากเป็นกำลังใจทุก ๆ คน ที่กำลังลดน้ำหนัก หรือลุกขึ้นมาดูแลตัวเองนะคะ ขอให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง และมี "วินัย" ในตัวเองให้มาก ๆ อดทนหน่อยค่ะ No Pain No Gain นะคะ แพรวเชื่อว่าทุกคนทำได้ เพราะขนาดตัวแพรวเองเคยหนักเกือบร้อยกิโลกรัม ยังทำได้เลย คนอื่น ๆ ที่หนักน้อยกว่านี้ก็คงทำได้ไม่ยากหรอกค่ะ ของแบบนี้ต้องใช้ใจล้วน ๆ ลองตั้งใจดูสักครั้ง แล้วเชื่อเถอะว่า ผลลัพธ์ที่คุณได้มาจากความพยายาม มันจะตอบแทนให้คุณอย่างคุ้มค่าในที่สุด

          ป.ล. เรื่องศัลยกรรม แพรวทำแค่จมูก นอกนั้นไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม หลัก ๆ คือ ดูแลเรื่องน้ำหนักตัว ผิวพรรณ และปรับการแต่งกาย แค่นี้ก็โอเคแล้วค่ะ


          สำหรับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งสำคัญที่จะทำให้หลาย ๆ คนบรรลุเป้าหมายก็คือ "วินัย" หากคุณสาว ๆ มีวินัยที่ดี ปฏิบัติและดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าต่อให้ปัจจุบันคุณจะอ้วนหรือหน้าตาขี้เหร่แค่ไหน ก็เชื่อว่าในอนาคตคุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างเธอคนนี้แน่นอนค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ 2366593 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ลดน้ำหนักจนสวยเช้ง ! แชร์ประสบการณ์จากอดีตยัยป้าช้างน้ำ หนัก 100 กิโลกรัม อัปเดตล่าสุด 30 กันยายน 2559 เวลา 21:25:09 31,927 อ่าน
TOP