x close

จี้รณรงค์เซฟเซ็กซ์ ช่วงสงกรานต์

เซ็กซ์

จี้รณรงค์เซฟเซ็กซ์ ช่วงสงกรานต์ (ไทยโพสต์)

          นายนิมิตร เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาจะให้ความสำคัญกับเรื่องการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เมาไม่ขับ แต่ปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีกลับไม่ได้รับความสำคัญ ทั้งที่จากข้อมูลการติดเชื้อเอดส์ที่ผ่านมา พบว่า สาเหตุการแพร่กระจายของการติดเชื้อเอชไอวีเกิดจากการโยกย้ายถิ่น และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็เป็นช่วงที่มีการโยกย้ายของคนจำนวนมาก เนื่องจากตามโครงสร้างของประเทศไทย คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่จะเข้ามาทำงานในเมือง ซึ่งบางคนเป็นหัวหน้าครอบครัวเข้ามาทำงานโดยลำพัง แต่พอช่วงวันหยุดยาวจะกลับไปเยี่ยมบ้าน ซึ่งในช่วงอยู่ในเมือง บางคนมีเงินติดกระเป๋ามากขึ้น ก็อาจนำไปซื้อบริการทางเพศ  โดยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ไม่ใช่ภรรยาหรือคู่นอนประจำ ซึ่งสอดคล้องกับอัตราสาเหตุการติดเชื้อ ที่พบว่า กว่า 80% เป็นการติดต่อจากเพศสัมพันธ์ 

          ประกอบกับพฤติกรรมคนไทย แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว แต่การรณรงค์ก็ยังไม่ได้ผล ดังนั้น เมื่อเดินทางกลับไปที่บ้านอาจมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือภรรยา ซึ่งจากรายงานอัตราการติดเชื้อ พบว่า ในกลุ่มแม่บ้านปัจจุบันมีอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 0.7% นอกจากนี้  ช่วงเทศกาลยังเป็นงานรื่นเริงที่มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผู้คนก็อาจไม่ได้ระมัดระวังในเรื่องนี้

          นายนิมิตร กล่าวว่า ปัญหาโอกาสการแพร่เชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่เป็นวันหยุดยาว ถือเป็นประเด็นใหญ่ ที่ต้องเน้นให้คนตระหนัก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขนอกจากร่วมรณรงค์ลดอุบัติเหตุ ลดเหล้า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้ว รวมถึงการรณรงค์เมาไม่ขับ ก็ควรรณรงค์ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีด้วย ซึ่งควรมีการแจกถุงยางอนามัยเพื่อรณรงค์ไปด้วย

          "สังคมไทยปกติไม่ค่อยคิดถึงถุงยางอนามัย แม้แต่เวลาที่คิดถึงการคุมกำเนิดก็จะคิดถึงยาคุมกำเนิด แทนที่จะใช้ถุง ยางอนามัย ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก นอกจากจะคุมกำเนิดแล้วยังช่วยป้องกันการติดต่อโรคเพศสัมพันธ์ได้ ทำให้ไม่เคยชิน อีกทั้งยังตกเป็นภาระของฝ่ายหญิงที่ต้องดูแลผู้ชายที่มักไม่ค่อยคิดถึงถุงยางอนามัย"  ผอ.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์กล่าว และว่า ดังนั้นในช่วงสงกรานต์นี้ นอกจากการรณรงค์ อย่างเช่น โครงการเมาไม่ขับ เดินทางไปกลับปลอดภัยแล้ว ควรรณรงค์มีเซ็กซ์ปลอดภัยด้วย

          นายนิมิตร กล่าวว่า ยอมรับว่าปัญหาถุงยางอนามัยยังเป็นปัญหาใหญ่ รวมถึงเรื่องราคา ที่ทำให้คนที่รายได้น้อยเข้าไม่ถึง เช่น คนที่เข้ามาทำงานในเมืองมีเงินเดือน 7,000 บาท นอกจากค่าเช่าบ้าน ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน บางคนยังต้องส่งเงินกลับบ้าน ทำให้การซื้อถุงยางอนามัยเป็นเรื่องท้าย ๆ ที่คนจะยอมจ่าย แต่หากทำให้ราคาถูกลงจะช่วยให้คนเข้าถึงถุงยางอนามัยมากขึ้น  ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการส่งออกถุงยางอนามัยสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก

          ดังนั้น  รัฐควรที่จะทำให้ราคาถุงยางอนามัยมีราคาถูก เพราะต้นทุนไม่ถึง 1 บาทด้วยซ้ำ แต่ขายราคาแพงมาก เป็นไปได้ควรจำหน่ายในราคา 3 ชิ้น 10 บาท หรือเป็นไปได้ 6 ชิ้น 10 บาท  นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ก็ควรแจกฟรีให้กับประชาชน เพราะถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการป้องกันโรค อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในช่วงหลังมานี้ งบโครงการจัดซื้อถุงยางอนามัยของกระทรวงสาธารณสุขลดลง เหลือเพียงปีละ 20 ล้านบาทเท่านั้น แถมยังให้เฉพาะกลุ่มที่เป็นหญิงบริการเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการเข้าถึงถุงยางอนามัย

          นอกจากนี้ ในการติดตั้งเครื่องจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติของกระทรวงที่มีราคาถูก ยังติดตั้งเฉพาะหน่วยงานราชการหรือในห้างสรรพสินค้าที่มีข้อจำกัด สามารถจัดซื้อได้เฉพาะในเวลาราชการ หรือเวลาเปิดของห้างสรรพสินค้าเท่านั้น ขัดต่อความเป็นจริง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
จี้รณรงค์เซฟเซ็กซ์ ช่วงสงกรานต์ อัปเดตล่าสุด 13 เมษายน 2553 เวลา 16:38:55
TOP