แพทย์เตือนหน้าหนาวนี้เที่ยวป่าระวังไรอ่อนกัด อาจติดเชื้อไข้รากสาดใหญ่ได้ พบปีนี้ป่วยแล้วกว่า 6 พันราย เสียชีวิตแล้ว 9 ราย
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2558 นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงฤดูหนาวที่ประชาชนนิยมเที่ยวในป่า ภูเขา ขอให้ระวังการถูกตัวไรอ่อนกัด เพราะตัวไรอ่อนเป็นพาหะนำโรคไข้รากสาดใหญ่ หรือโรคสครับไทฟัส
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ในตัวไรอ่อนจะมีเชื้อริกเกตเซีย โดยจะชอบกัดบริเวณในร่มผ้า เช่น ขาหนีบ เอว ลำตัว รักแร้ หลังถูกกัดประมาณ 10-12 วัน จะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว ตาแดง ปวดกระบอกตา ผู้ป่วยร้อยละ 50 จะมีบาดแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ในจุดที่ถูกไรอ่อนกัด ลักษณะมีสีแดงคล้ำเป็นรอยบุ๋ม ไม่คัน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ บางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ซึ่งพบประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ป่วย เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ทำให้เสียชีวิตได้
สำหรับการป้องกันไม่ให้ไรอ่อนกัดนั้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้ผู้ที่จะไปเดินป่าควรใส่รองเท้า ถุงเท้าหุ้มปลายขากางเกงไว้ ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ และเหน็บปลายเสื้อเข้าในกางเกง ใช้ยาทากันแมลงกัด ทั้งนี้ หากภายใน 2 สัปดาห์หลังออกจากป่าแล้วมีอาการป่วยดังที่กล่าวมาข้างต้น ให้นึกถึงอาจเป็นโรคนี้ได้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการเข้าไปในป่า โรคนี้รักษาได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ
ด้านนายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า พบผู้ป่วยโรคนี้ได้ตลอดปี มักพบในกลุ่มชาวไร่ ชาวสวน นักล่าสัตว์ นักท่องป่า ทหาร และผู้ที่ออกไปตั้งค่ายในป่า จะพบมากในช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว
จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคสครับไทฟัส โดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 - 11 พฤศจิกายน 2558 ทั่วประเทศ มีรายงานผู้ป่วย 6,098 ราย เสียชีวิต 9 ราย ภาคเหนือมีผู้ป่วยมากที่สุด 3,370 ราย รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,610 ราย
ข้อมูลจากสำนักข่าว INN