สาธารณสุข ประกาศเพิ่มโรค ไวรัสซิกา เป็นโรคติดต่อที่ต้องแจ้งความ ขอคนไทยอย่าเพิ่งตื่นตระหนก หลังพบผู้ป่วย 1 ราย ชี้ไม่ได้พบเป็นครั้งแรก ควบคุมสถานการณ์ได้
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 นายแพทย์อำนวย กาจีนะ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย พล.อ.ต. สันติ ศรีเสริมโภค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ ร่วมกันแถลงการณ์ถึงสถานการณ์ไวรัสซิกาในประเทศไทย หลังเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา โรงพยาบาลภูมิพลได้รับผู้ป่วยโรคไข้ซิกา เป็นชายไทยวัย 22 ปี เข้ารับการรักษา โดยล่าสุดพบว่าสามารถรักษาผู้ป่วยจนหายและออกจากโรงพยาบาลแล้วเมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ยืนยันว่าในประเทศไทยยังไม่ถือว่ามีการระบาดของเชื้อไวรัสซิกา ขณะที่ผู้ป่วยรายดังกล่าวก็ไม่นับว่าเป็นผู้ป่วยรายแรกของไทย โดยไทยพบผู้ป่วยรายแรกตั้งแต่ปี 2505 และพบปีละ 2-5 รายมาตลอด แต่ไม่ถือว่าเป็นการแพร่ระบาดในวงกว้าง โดยหลังจากนี้จะเน้นมาตรการเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงใน 4 กลุ่ม ได้แก่
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยที่มีไข้ออกผื่น
- ทารกแรกเกิดที่มีอาการผิดปกติศีรษะเล็ก
- ผู้ป่วยปลายประสาทอักเสบ
โดยกลุ่มอาการเหล่านี้จะบ่งบอกว่าเข้าข่ายโรคซิกาได้ และในกรณีหญิงตั้งครรภ์หากมีอาการไข้ ผื่นขึ้น ตาแดง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อทำการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ ทั้งนี้ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกเพราะถือเป็นสถานการณ์ปกติ พร้อมกันนี้ยังได้มีออกประกาศเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ จากฉบับแรกที่เกี่ยวกับประกาศเรื่องโรคไข้ซิกา ในเรื่องอาการ การดูแล เฝ้าระวังต่าง ๆ โดยประกาศใหม่ คือ
1. ประกาศสาธารณสุข เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อและอาการสำคัญ โดยระบุว่าอาการสำคัญ ได้แก่ มีอาการไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ตาแดง บางรายอาจมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย โดยทั่วไปจะมีอาการป่วยประมาณ 1 สัปดาห์
2. ประกาศสาธารณสุข เรื่องเพิ่มเติมชื่อโรคติดต่อต้องแจ้งความ ระบุว่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกาเป็นโรคที่ต้องแจ้งความ
อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจได้กำชับสถานพยาบาลในสังกัดให้คัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั้ง 4 กลุ่มอย่างถี่ถ้วน ขณะเดียวกันได้มีการประชุมทางไกลผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์กับนักระบาดวิทยาภาคสนามในระดับอาเซียนบวกสามด้วย
ด้าน นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา เผยว่า ผู้ป่วยไวรัสซิกา อาการไม่ได้รุนแรงมาก เพราะปกติจะหายเองได้ภายใน 7 วัน ส่วนที่เกิดการระบาดจนองค์การอนามัยโลกออกมาประกาศว่าเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะเด็กที่คลอดออกมามีความพิการทางสมอง จึงต้องออกประกาศดังกล่าว โดยกำชับให้มีการดูแลหญิงตั้งครรภ์เป็นพิเศษแล้ว