เมื่อโรคมือเท้าปากเป็นเหตุให้คุณแม่ต้องนอนโรงพยาบาลกว่า 10 วันหลังติดเชื้อจากลูก ย้ำชัดว่าผู้ใหญ่ก็เป็นโรคนี้ได้ แถมอาการก็หนักไม่ใช่เล่นเลย
โรคมือเท้าปากที่เคยเข้าใจว่ามีแต่เด็กที่เสี่ยงจะป่วย ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนชะล่าใจ แต่ต่อไปนี้ต้องระวังให้มากขึ้นกันแล้วนะคะ เพราะมีคุณแม่คนหนึ่งติดโรคมือเท้าปากจากลูก อาการหนักถึงขั้นผมร่วง สูญเสียเล็บมือ เล็บเท้า เป็นแผลพุพองขึ้นลามเกือบทั้งตัว และเธอต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า 10 วันเลยทีเดียว
โดย Glynisia Yeo คุณแม่ชาวสิงคโปร์ ติดเชื้อโรคมือเท้าปากมาจากลูกชาย ซึ่งเธอก็บอกว่าโรคมือเท้าปากเล่นงานเธอซะเกือบน่วมเลย เธอจึงบันทึกอาการในแต่ละวันเอาไว้ เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้เราทุกคนตระหนักถึงอาการที่แสนทรมานของโรคมือเท้าปาก และจะได้ระวังโรคติดต่อนี้กันให้มากขึ้น
วันที่ 1
ฉันสังเกตเห็นจุดแดง ๆ ที่ฝ่ามือ แต่ก็ไม่ได้สนใจมัน เพราะมัวห่วงแต่ Conran ลูกชายวัย 2 ขวบ ที่กำลังรักษาโรคมือเท้าปากอยู่ในโรงพยาบาล และอาการยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง
วันที่ 2
จุดแดง ๆ บนฝ่ามือเพิ่มมากขึ้น แพทย์ก็สันนิษฐานว่าฉันเป็นโรคมือเท้าปาก และในเย็นวันนั้น จุดแดง ๆ ก็ลามไปทั่วทั้งฝ่ามือ นิ้วมือ เลยไปจนข้อมือของฉัน และมันทำให้ฉันรู้สึกคันมาก ๆ แต่ฉันทำได้แค่เพียงทาคาลาไมน์บรรเทาอาการ ไม่งั้นคงนอนไม่หลับแน่ ๆ
วันที่ 3
ฉันตื่นมาพบว่าผื่นแดง ๆ ขึ้นเต็มมือไปหมด แถมยังเริ่มเป็นแผล มีอาการแสบ คันยิบ ๆ และเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถกำมือได้ เพราะผื่นเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกตึงไปทั้งฝ่ามือ แถมฉันยังพบว่ามีผื่นแดง ๆ ขึ้นที่ฝ่าเท้าอยู่หลายจุด
วันนี้ทั้งวันฉันแทบทำอะไรไม่ได้ แม้แต่ตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก มือที่ไปเสียดสีกับผ้าอ้อมก็ทำให้ฉันเจ็บจนแทบจะร้องไห้ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือฉันเริ่มจะทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำได้อย่างยากลำบากแล้ว ดังนั้นพอสามีของฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันจึงขอให้เขาพาไปโรงพยาบาล
คุณหมอวินิจฉัยแล้วว่าฉันเป็นโรคมือเท้าปากอย่างแน่นอน และยังบอกด้วยว่าเป็นเคสที่เกิดขึ้นน้อยมาก ที่จะพบโรคมือเท้าปากในผู้ใหญ่ อีกทั้งยังเตือนให้ฉันได้เตรียมใจไว้ด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ฉันอาจจะมีแผลในลำคอ และอาจเดินได้ลำบากมากขึ้น เพราะจะมีแผลพุพองที่ฝ่าเท้า
อาการวันที่ 4-7
วันที่ 4
มือของฉันเริ่มบวมและรู้สึกตึงไปหมด จนไม่สามารถจะหยิบจับหรือช่วยเหลือตัวเองได้เลย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ต้องพึ่งพยาบาลให้อาบน้ำและทำอะไรหลาย ๆ อย่างให้แทน และวันนี้ก็ยังถูกฉีดของเหลวเข้าร่างกายหลายครั้ง เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้
วันที่ 5
อาการเจ็บคอทวีความรุนแรงมากขึ้น จนแทบกลืนอาหารหรือน้ำได้ลำบาก โดยเฉพาะตอนดื่มน้ำเย็น ที่ทำให้ฉันเจ็บคอเหมือนกลืนลูกบอลแข็ง ๆ ในที่สุดฉันก็ถอดใจ เลิกกินทั้งอาหารและน้ำไปเลย
วันที่ 6
วันนี้ก็ยังคงกินอะไรไม่ได้ เพราะอาการเจ็บคอที่ร้ายกาจ ฉันจึงได้แต่ดูทีวีแก้เบื่อไปอย่างนั้น แต่ที่เศร้ามากกว่าคือฉันเจ็บฝ่ามือจนอุ้มลูกชายไม่ได้ แต่เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจตอนที่ฉันบอกว่าอุ้มหรือจับเขาไม่ได้เพราะแม่เจ็บฝ่ามือมาก ๆ
วันที่ 7
อาการของโรคมือเท้าปากยังลามอย่างต่อเนื่อง จากฝ่ามือลามมายังแก้ม ปาก ลิ้น และคาง แต่วันนี้ก็ยังถือว่าโชคดีที่ฉันเริ่มกินอะไรได้บ้างแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีชาคาโมมายล์ใส่น้ำแข็งนี่แหละที่ฉันดื่มได้โดยไม่รู้สึกทรมานลำคอเท่าไร
วันที่ 8
มือของฉันเริ่มแตกลอกเป็นแผ่น ๆ เหมือนผิวหนังบอบบางจนพร้อมจะเสียหายได้ทุกเมื่อ แพทย์ผิวหนังเห็นอาการของฉันจึงให้ครีมสำหรับทามาบรรเทาอาการ
วันที่ 9
จากที่เป็นแค่ผื่นและผิวลอก วันนี้ผิวที่มือของฉันเริ่มแตกและกลายเป็นแผลใหญ่ แต่นั่นก็ยังไม่ทรมานเท่าความหิวเพราะขาดอาหารมาหลายวัน ฉันจึงจัดเต็มอาหารทุกจานจนเกลี้ยงเลย
วันที่ 10
วันนี้ฉันก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าไร แม้แต่การเปิดกล่อง หรือหวีผมยังทำไม่ได้เลย
วันที่ 11
แผลพุพองที่ฝ่ามือเริ่มแห้งแล้ว วันนี้ฉันเลยลองพยายามอาบน้ำด้วยตัวเอง แม้จะต้องใส่ถุงมืออาบน้ำเพื่อป้องกันแผลเปื่อยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็คงได้ทำอะไรด้วยตัวเองบ้างล่ะน่า
ส่วนแผลในปากก็หายแล้ว และแน่นอนว่าฉันก็สั่งให้สามีซื้ออาหารมาให้กินเพียบ ไม่พลาดทั้งขนมโปรด และชานมของชอบ
วันที่ 12
เท้าของฉันยังคงบวมและตึงอยู่นิด ๆ แต่ก็พอเดินไหว เพราะไม่ค่อยมีอาการเจ็บเท้าอีกแล้ว อีกอย่างจุดแดง ๆ ที่ฝ่ามือก็เริ่มน้อยลง ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีเลยทีเดียว
วันที่ 13
ฉันได้กลับบ้านแล้ว แต่หมอก็ยังสั่งให้มารักษาตัวต่อเนื่องอีก 3 สัปดาห์ และพยายามอย่าออกจากบ้านไปไหน เพราะแผลที่มือของฉันก็ยังไม่หายดีเท่าไร คงต้องมาเยี่ยมหมอและพยาบาลต่อไปอีกสักระยะ
ช่วงพักฟื้นที่บ้าน
ฉันคิดว่าช่วงเลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้วนะ แต่มันยังไม่จบแค่นั้น ! เพราะแผลที่เท้าฉันเริ่มลอก และมันเจ็บมาก จนการยืนและเดินเป็นเรื่องที่ต้องมาพยายามกันอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่ง่ายอย่างที่หวังเอาไว้เลย ส่วนฉันก็เริ่มหงุดหงิดใจกับการที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้จะอยู่ในช่วงพักฟื้นก็ตาม
หลังจากนั้นอาการของฉันเหมือนจะยิ่งแย่เข้าไปอีก เมื่อเล็บเริ่มหลุด ผมเริ่มร่วง และแม้หมอจะบอกว่านี่คือหนึ่งในอาการของโรค แต่ฉันรู้สึกรับสภาพตัวเองตอนนี้แทบไม่ได้ ฉันกลับไปทำอะไรไม่ได้เหมือนตอนที่ป่วย แม้กระทั่งจะแกะสติ๊กเกอร์ให้ลูกชาย มันก็เป็นเรื่องยากเกินที่ฉันจะทำได้ไหว
ทว่าสุดท้ายฉันก็ต้องอยู่กับมันให้ได้และสู้กับโรคมือเท้าปากต่อไป ฉันจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการหาผ้าพันแผลมาพันที่นิ้ว ซึ่งก็ช่วยบรรเทาความเจ็บและทำให้ฉันรู้สึกดีได้ในระดับหนึ่ง แต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องร้องไห้อยู่หลายวัน ก็คือปัญหาผมร่วงที่แก้ไม่หาย ป้องกันก็ไม่ได้ ทำให้ผมที่ยิ่งบางอยู่แล้วของฉันยิ่งบางเข้าไปใหญ่ เรื่องนี้ทำให้ฉันเศร้าใจจริง ๆ
แต่ในที่สุดฉันก็ต้องขอบคุณกำลังใจจากครอบครัวและคุณหมอทุกท่าน ที่คอยอยู่เคียงข้าง และปลอบให้ฉันสู้กับโรคมือเท้าปากนี้มาได้ และแม้ว่าฉันจะต้องรอให้เล็บงอกมาใหม่นานกว่า 2 เดือน แต่ก็นับว่าเป็นการรอที่คุ้มค่า และอย่างน้อยฉันก็ได้เข้าใจความหมายของคำว่า "เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง" อย่างถ่องแท้
อย่างไรก็ตาม แม้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะบอกว่าโรคมือเท้าปากในผู้ใหญ่เกิดได้น้อยเพียง 1% แต่เราก็ได้เห็นจากกรณีคุณแม่คนนี้แล้วว่าสามารถเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษาก็ได้อธิบายว่า แม้ร่างกายของผู้ใหญ่จะมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ค่อนข้างสูงกว่าเด็ก ๆ ทว่าหากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสโรคมือเท้าปากซ้ำ ๆ กล่าวคือ อาจได้รับเชื้อจากใครสักคนมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้รับเชื้อไวรัสตัวเดิมซ้ำอีกครั้งในระยะเวลาที่เชื้อตัวแรกยังไม่ถูกทำลายไป ก็อาจป่วยเป็นโรคมือเท้าปากได้ในที่สุด
ดังเช่นกรณีคุณแม่คนนี้ที่อาจได้รับเชื้อไวรัสโรคมือเท้าปากจากข้างนอกมาก่อน แล้วมารับเชื้อไวรัสตัวเดิมจากลูกชายอีก ก็อาจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เธอต้องป่วยโรคมือเท้าปากได้นั่นเองค่ะ
เห็นไหมคะว่าโรคมือเท้าปากก็อันตรายและสร้างความทรมานให้กับผู้ใหญ่ตัวโต ๆ อย่างเราได้ไม่น้อยเลยจริง ๆ ดังนั้นก็พยายามป้องกันตัวเองจากโรคติดต่อชนิดนี้ให้ดี โดยคุณหมอแนะนำให้ป้องกันโรคมือเท้าปากในผู้ใหญ่ดังนี้
1. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนจะรับประทานอาหาร
2. ยึดปฏิบัติหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ อย่างเคร่งครัด
3. หมั่นดูแลรักษาสุขอนามัยรอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ
4. ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อรู้สึกป่วย หรืออยู่ในสถานที่ที่มีการแพร่เชื้อโรค (ที่แออัด)
5. ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน ร่วมกับผู้อื่น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
straitstimes
youngparents
โรคมือเท้าปากที่เคยเข้าใจว่ามีแต่เด็กที่เสี่ยงจะป่วย ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนชะล่าใจ แต่ต่อไปนี้ต้องระวังให้มากขึ้นกันแล้วนะคะ เพราะมีคุณแม่คนหนึ่งติดโรคมือเท้าปากจากลูก อาการหนักถึงขั้นผมร่วง สูญเสียเล็บมือ เล็บเท้า เป็นแผลพุพองขึ้นลามเกือบทั้งตัว และเธอต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า 10 วันเลยทีเดียว
อาการวันที่ 1-2
วันที่ 1
ฉันสังเกตเห็นจุดแดง ๆ ที่ฝ่ามือ แต่ก็ไม่ได้สนใจมัน เพราะมัวห่วงแต่ Conran ลูกชายวัย 2 ขวบ ที่กำลังรักษาโรคมือเท้าปากอยู่ในโรงพยาบาล และอาการยังค่อนข้างน่าเป็นห่วง
วันที่ 2
จุดแดง ๆ บนฝ่ามือเพิ่มมากขึ้น แพทย์ก็สันนิษฐานว่าฉันเป็นโรคมือเท้าปาก และในเย็นวันนั้น จุดแดง ๆ ก็ลามไปทั่วทั้งฝ่ามือ นิ้วมือ เลยไปจนข้อมือของฉัน และมันทำให้ฉันรู้สึกคันมาก ๆ แต่ฉันทำได้แค่เพียงทาคาลาไมน์บรรเทาอาการ ไม่งั้นคงนอนไม่หลับแน่ ๆ
อาการวันที่ 3
วันที่ 3
ฉันตื่นมาพบว่าผื่นแดง ๆ ขึ้นเต็มมือไปหมด แถมยังเริ่มเป็นแผล มีอาการแสบ คันยิบ ๆ และเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถกำมือได้ เพราะผื่นเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกตึงไปทั้งฝ่ามือ แถมฉันยังพบว่ามีผื่นแดง ๆ ขึ้นที่ฝ่าเท้าอยู่หลายจุด
วันนี้ทั้งวันฉันแทบทำอะไรไม่ได้ แม้แต่ตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก มือที่ไปเสียดสีกับผ้าอ้อมก็ทำให้ฉันเจ็บจนแทบจะร้องไห้ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือฉันเริ่มจะทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำได้อย่างยากลำบากแล้ว ดังนั้นพอสามีของฉันกลับมาถึงบ้าน ฉันจึงขอให้เขาพาไปโรงพยาบาล
คุณหมอวินิจฉัยแล้วว่าฉันเป็นโรคมือเท้าปากอย่างแน่นอน และยังบอกด้วยว่าเป็นเคสที่เกิดขึ้นน้อยมาก ที่จะพบโรคมือเท้าปากในผู้ใหญ่ อีกทั้งยังเตือนให้ฉันได้เตรียมใจไว้ด้วยว่า ในวันพรุ่งนี้ฉันอาจจะมีแผลในลำคอ และอาจเดินได้ลำบากมากขึ้น เพราะจะมีแผลพุพองที่ฝ่าเท้า
อาการวันที่ 4-7
วันที่ 4
มือของฉันเริ่มบวมและรู้สึกตึงไปหมด จนไม่สามารถจะหยิบจับหรือช่วยเหลือตัวเองได้เลย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ต้องพึ่งพยาบาลให้อาบน้ำและทำอะไรหลาย ๆ อย่างให้แทน และวันนี้ก็ยังถูกฉีดของเหลวเข้าร่างกายหลายครั้ง เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้
วันที่ 5
อาการเจ็บคอทวีความรุนแรงมากขึ้น จนแทบกลืนอาหารหรือน้ำได้ลำบาก โดยเฉพาะตอนดื่มน้ำเย็น ที่ทำให้ฉันเจ็บคอเหมือนกลืนลูกบอลแข็ง ๆ ในที่สุดฉันก็ถอดใจ เลิกกินทั้งอาหารและน้ำไปเลย
วันที่ 6
วันนี้ก็ยังคงกินอะไรไม่ได้ เพราะอาการเจ็บคอที่ร้ายกาจ ฉันจึงได้แต่ดูทีวีแก้เบื่อไปอย่างนั้น แต่ที่เศร้ามากกว่าคือฉันเจ็บฝ่ามือจนอุ้มลูกชายไม่ได้ แต่เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจตอนที่ฉันบอกว่าอุ้มหรือจับเขาไม่ได้เพราะแม่เจ็บฝ่ามือมาก ๆ
วันที่ 7
อาการของโรคมือเท้าปากยังลามอย่างต่อเนื่อง จากฝ่ามือลามมายังแก้ม ปาก ลิ้น และคาง แต่วันนี้ก็ยังถือว่าโชคดีที่ฉันเริ่มกินอะไรได้บ้างแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีชาคาโมมายล์ใส่น้ำแข็งนี่แหละที่ฉันดื่มได้โดยไม่รู้สึกทรมานลำคอเท่าไร
วันที่ 8
มือของฉันเริ่มแตกลอกเป็นแผ่น ๆ เหมือนผิวหนังบอบบางจนพร้อมจะเสียหายได้ทุกเมื่อ แพทย์ผิวหนังเห็นอาการของฉันจึงให้ครีมสำหรับทามาบรรเทาอาการ
วันที่ 9
จากที่เป็นแค่ผื่นและผิวลอก วันนี้ผิวที่มือของฉันเริ่มแตกและกลายเป็นแผลใหญ่ แต่นั่นก็ยังไม่ทรมานเท่าความหิวเพราะขาดอาหารมาหลายวัน ฉันจึงจัดเต็มอาหารทุกจานจนเกลี้ยงเลย
อาการวันที่ 9-11
วันที่ 10
วันนี้ฉันก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้มากเท่าไร แม้แต่การเปิดกล่อง หรือหวีผมยังทำไม่ได้เลย
วันที่ 11
แผลพุพองที่ฝ่ามือเริ่มแห้งแล้ว วันนี้ฉันเลยลองพยายามอาบน้ำด้วยตัวเอง แม้จะต้องใส่ถุงมืออาบน้ำเพื่อป้องกันแผลเปื่อยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็คงได้ทำอะไรด้วยตัวเองบ้างล่ะน่า
ส่วนแผลในปากก็หายแล้ว และแน่นอนว่าฉันก็สั่งให้สามีซื้ออาหารมาให้กินเพียบ ไม่พลาดทั้งขนมโปรด และชานมของชอบ
อาการวันที่ 12-13
วันที่ 12
เท้าของฉันยังคงบวมและตึงอยู่นิด ๆ แต่ก็พอเดินไหว เพราะไม่ค่อยมีอาการเจ็บเท้าอีกแล้ว อีกอย่างจุดแดง ๆ ที่ฝ่ามือก็เริ่มน้อยลง ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีเลยทีเดียว
วันที่ 13
ฉันได้กลับบ้านแล้ว แต่หมอก็ยังสั่งให้มารักษาตัวต่อเนื่องอีก 3 สัปดาห์ และพยายามอย่าออกจากบ้านไปไหน เพราะแผลที่มือของฉันก็ยังไม่หายดีเท่าไร คงต้องมาเยี่ยมหมอและพยาบาลต่อไปอีกสักระยะ
ช่วงพักฟื้นที่บ้าน
ฉันคิดว่าช่วงเลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้วนะ แต่มันยังไม่จบแค่นั้น ! เพราะแผลที่เท้าฉันเริ่มลอก และมันเจ็บมาก จนการยืนและเดินเป็นเรื่องที่ต้องมาพยายามกันอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่ง่ายอย่างที่หวังเอาไว้เลย ส่วนฉันก็เริ่มหงุดหงิดใจกับการที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้จะอยู่ในช่วงพักฟื้นก็ตาม
หลังจากนั้นอาการของฉันเหมือนจะยิ่งแย่เข้าไปอีก เมื่อเล็บเริ่มหลุด ผมเริ่มร่วง และแม้หมอจะบอกว่านี่คือหนึ่งในอาการของโรค แต่ฉันรู้สึกรับสภาพตัวเองตอนนี้แทบไม่ได้ ฉันกลับไปทำอะไรไม่ได้เหมือนตอนที่ป่วย แม้กระทั่งจะแกะสติ๊กเกอร์ให้ลูกชาย มันก็เป็นเรื่องยากเกินที่ฉันจะทำได้ไหว
ทว่าสุดท้ายฉันก็ต้องอยู่กับมันให้ได้และสู้กับโรคมือเท้าปากต่อไป ฉันจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการหาผ้าพันแผลมาพันที่นิ้ว ซึ่งก็ช่วยบรรเทาความเจ็บและทำให้ฉันรู้สึกดีได้ในระดับหนึ่ง แต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องร้องไห้อยู่หลายวัน ก็คือปัญหาผมร่วงที่แก้ไม่หาย ป้องกันก็ไม่ได้ ทำให้ผมที่ยิ่งบางอยู่แล้วของฉันยิ่งบางเข้าไปใหญ่ เรื่องนี้ทำให้ฉันเศร้าใจจริง ๆ
แต่ในที่สุดฉันก็ต้องขอบคุณกำลังใจจากครอบครัวและคุณหมอทุกท่าน ที่คอยอยู่เคียงข้าง และปลอบให้ฉันสู้กับโรคมือเท้าปากนี้มาได้ และแม้ว่าฉันจะต้องรอให้เล็บงอกมาใหม่นานกว่า 2 เดือน แต่ก็นับว่าเป็นการรอที่คุ้มค่า และอย่างน้อยฉันก็ได้เข้าใจความหมายของคำว่า "เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง" อย่างถ่องแท้
อย่างไรก็ตาม แม้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะบอกว่าโรคมือเท้าปากในผู้ใหญ่เกิดได้น้อยเพียง 1% แต่เราก็ได้เห็นจากกรณีคุณแม่คนนี้แล้วว่าสามารถเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งแพทย์ผู้ทำการรักษาก็ได้อธิบายว่า แม้ร่างกายของผู้ใหญ่จะมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ค่อนข้างสูงกว่าเด็ก ๆ ทว่าหากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสโรคมือเท้าปากซ้ำ ๆ กล่าวคือ อาจได้รับเชื้อจากใครสักคนมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้รับเชื้อไวรัสตัวเดิมซ้ำอีกครั้งในระยะเวลาที่เชื้อตัวแรกยังไม่ถูกทำลายไป ก็อาจป่วยเป็นโรคมือเท้าปากได้ในที่สุด
ดังเช่นกรณีคุณแม่คนนี้ที่อาจได้รับเชื้อไวรัสโรคมือเท้าปากจากข้างนอกมาก่อน แล้วมารับเชื้อไวรัสตัวเดิมจากลูกชายอีก ก็อาจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เธอต้องป่วยโรคมือเท้าปากได้นั่นเองค่ะ
เห็นไหมคะว่าโรคมือเท้าปากก็อันตรายและสร้างความทรมานให้กับผู้ใหญ่ตัวโต ๆ อย่างเราได้ไม่น้อยเลยจริง ๆ ดังนั้นก็พยายามป้องกันตัวเองจากโรคติดต่อชนิดนี้ให้ดี โดยคุณหมอแนะนำให้ป้องกันโรคมือเท้าปากในผู้ใหญ่ดังนี้
1. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนจะรับประทานอาหาร
2. ยึดปฏิบัติหลักกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ อย่างเคร่งครัด
3. หมั่นดูแลรักษาสุขอนามัยรอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ
4. ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อรู้สึกป่วย หรืออยู่ในสถานที่ที่มีการแพร่เชื้อโรค (ที่แออัด)
5. ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อน ร่วมกับผู้อื่น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
straitstimes
youngparents