แนะกินข้าวให้ถูกวิธี...กินแบบไทยดีที่สุด



ผศ.รวีโรจน์ อนันตธนาชัย

อาหารไทย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร ฅ คน


          แม้ว่าในช่วงหลังมานี้ กระแสรักสุขภาพจะมาแรง จนทำให้ผู้คนหันมาใส่ใจในการกินมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น คนจำนวนมากก็ยังกินไม่ถูกหลัก แม้กระทั่งอาหารหลักอย่าง "ข้าว" ก็ยังกินกันไม่ถูกวิธี....

          ผศ.รวีโรจน์ อนันตธนาชัย เจ้าของวิชาโภชนศาสตร์ครอบครัวและอาหารเพื่อสุขภาพ ประจำหลักสูตรคหกรรมศาสตร์ โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กล่าวว่า การกินที่ถูกหลัก คือ ต้องกินข้าวมาก กินข้าวมากกว่าผัก กินผักมากกว่าผลไม้ ข้าวกับผักต้องมากกว่าเนื้อสัตว์และไขมัน หากตีเป็นเปอร์เซ็นต์ พลังงานที่ควรจะได้รับจากคาร์โบไฮเดรตต้องมากที่สุด คือประมาณ 55-65% ของพลังงานทั้งหมด โปรตีน 10-15% และไขมันประมาณ 25-30%

ข้าว


          จากคำกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าแย้งกับความเชื่อของคนยุคใหม่ที่ว่า กินข้าวแต่น้อย กินกับเยอะ ๆ ซึ่งไม่ใช่วิถีปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยเฉพาะในหมู่สาว ๆ ที่ต้องการลดหุ่นให้เพรียวบาง ด้วยการลดปริมาณข้าว หรือกระทั่งถึงขนาดอดข้าวบางมื้อ โดยหารู้ไม่ว่า การอดข้าวลดความอ้วนนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด และยังไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย

          "ถ้าเรากินข้าวน้อย กินแต่เนื้อ เพราะจะลดความอ้วน กินแต่โปรตีน กินเนื้อสัตว์ ไม่กินแป้งเลย เห็นดาราพูดในทีวีน่ะ อยากตีจังเลย... ผิดมาก... ข้าว ยังต้องกิน เพราะถือเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่เกิดพิษภัย ไขมันก็ยังจำเป็นต้องกิน ถ้าเราไม่กินเลยเราก็จะขาดวิตามิน A D E K แป้งก็ต้องกิน แต่ต้องกินให้พอต่อการใช้ กินให้สมดุล" ผศ.รวีโรจน์ กล่าว



ผศ.รวีโรจน์ อนันตธนาชัย


          ผศ.รวีโรจน์ บอกว่า อาหารทุกอย่างล้วนเสี่ยงต่อความอ้วนด้วยกันทั้งนั้น หากกินไม่ถูกหลัก กินเนื้อสัตว์มากก็อ้วนได้ แถมยังก่อให้เกิดโรค สำหรับรูปร่างอย่างคนไทย ข้าวสามทัพพีเล็ก ๆ ต่อมื้อก็เพียงพอแล้ว เนื้อสัตว์ประมาณ 3 ช้อน หรือถ้าจะกินไข่ก็ไข่ 1 ฟอง แล้วก็ปลาทูอีกครั้งซีกได้ แต่อย่าลืมกินผักผลไม้ด้วย เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ แล้วยังมีกากใยอาหาร ช่วยดูดซับสารพิษ ของเสียในร่างกายอย่าเก็บไว้เกิน 1 วัน เพราะจะถูกดูดเข้ากระแสเลือด

          ทั้งนี้ หากลองย้อนกลับไปดูวิถีการกินของคนเก่าคนแก่ จะพบว่า มีข้าวเป็นหลัก มีผักเป็นพื้น มีปลา มีน้ำพริก มาคอยเสริม ตบท้ายด้วย ผลไม้ใกล้เรือนทั้ง มะม่วง กล้วยน้ำว้า เพียงแค่นี้ ก็ทำให้อิ่มท้อง และได้สารอาหารครบถ้วน คนโบราณจึงไม่ขาดสารอาหาร หรือป่วยง่าย ผิดกับผู้คนยุคใหม่ ที่มักมีปัญหาสุขภาพ เพราะความเข้าใจผิด ๆ ในเรื่องการกิน อาทิเช่น กินแบบฮ่องเต้ กินแบบพิสดาร กินแบบบุฟเฟต์ โดยเฉพาะอย่างหลังนี้ เสียสตางค์แล้วยังเสียสุขภาพด้วย

          "ที่บอกกินหัวละ 199 แล้วกินกันจนท้องกาง ความจริงไม่มีประโยชน์กลับเป็นโทษต่อร่างกาย ไปตักเนื้อมากองมหึมา ความจริงร่างกายต้องการเพียงแค่ 3 ช้อนเท่านั้น มื้อหนึ่งกินปลาทูตัวเดียวกับไข่ครึ่งฟองก็โอเคแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายก็กินไข่ทั้งฟอง ปลาทูตัวหนึ่ง หมูอีกประมาณช้อนใหญ่ ๆ นอกนั้นก็กินผักกินข้าวเป็นหลัก ชีวิตเราจะอยู่ได้อย่างสุขสบายเลย" 


 

ผศ.รวีโรจน์ อนันตธนาชัย


          สำหรับการกินแบบถูกหลักโภชนาการในต่างประเทศ จะมีพีระมิดอาหาร ฐานล่างสุดกว้างสุดจะเป็นชั้นของข้าวกับธัญพืช สูงขึ้นมาเป็นผักเป็นผลไม้ เนื้อสัตว์จะอยู่ชั้นถัดไป แล้วจึงเป็นไขมัน ส่วนน้ำตาลจะอยู่ยอดบนยอดแหลมสุด ห้ามกินมาก เพราะถึงแม้น้ำตาลจะให้คาร์โบไฮเดรต แต่เป็นคาร์โบไฮเดรตที่กินเข้าไปแล้วเปลี่ยนเป็นคอเลสเตอรอล ทำให้อ้วน อย่างเช่นพวกน้ำอัดลม จึงไม่ควรกินมาก

          อย่างไรก็ตาม ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป สังคมไทยกลายเป็นสังคมผู้บริโภค คนปลูกไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ปลูก คนผลิตไม่ได้ผลิตเพื่อกินเอง แต่ผลิตเพื่อจำหน่าย ผู้คนจึงบริโภค คาร์โบไฮเดรต หลากรูปแบบทั้งข้าว แป้ง ขนมปัง แต่แน่นอนว่า ข้าว ยังคงเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าวทั้งเมล็ด ธัญพืชทั้งเมล็ด จะมีประโยชน์ มีใยอาหาร มีวิตามิน และเกลือแร่

อาหารไทย


          ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการกินข้าวกับผัก ปลา และผลไม้ ถือเป็นวิถีการกินของไทยมาตั้งแต่แบบโบราณ และยังคงดำเนินอยู่อย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิต ที่สำคัญยังถูกหลักโภชนาการมากที่สุดอีกด้วย...หันมาบริโภคอย่างไทยกันนะคะ รับรองว่าจะสุขภาพดีกันถ้วนหน้า




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

นิตยสาร ฅ คน ประจำเดือนธันวาคม พ.ศ.2553
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แนะกินข้าวให้ถูกวิธี...กินแบบไทยดีที่สุด อัปเดตล่าสุด 18 ธันวาคม 2556 เวลา 14:01:15 6,984 อ่าน
TOP
x close