เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
เว็บไซต์ไชน่าเดลี่ รายงานข่าวการเปิดเผยข้อมูลจำนวนนักศึกษาชาวจีนที่ติดเชื้อเอดส์ หรือเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIVs) จากหน่วยงานการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยของคณะกรรมการสาธารณสุขและการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ โดยข้อมูลล่าสุดที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา พบว่านักศึกษาจีนทั่วประเทศที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในปี 2012 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 24.5%
นายยู จิงจิน หัวหน้าหน่วยงานการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ ระบุว่า ทั่วประเทศจีนมีนักศึกษาที่ติดเชื้อเอชไอวีอยู่ราว 7,000 คน และเฉพาะจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่งติดเชื้อในช่วงปี 2012 ก็มีมากถึง 1,700 ราย 87% ได้รับเชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ โดย 64.8% ของกลุ่มนี้มาจากการมีเซ็กส์กับเพศเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย
สังคมจีนในปัจจุบันเริ่มเปิดกว้างต่อเรื่องรักร่วมเพศมากขึ้น นักศึกษาซึ่งเป็นกลุ่มรักร่วมเพศจึงกล้าที่จะมาตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีกันมากขึ้น ทำให้ตรวจพบจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มนักศึกษาชายมากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยอดผู้ป่วยเชื้อเอชไอวีในกลุ่มนักศึกษาของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจนั้น เกิดจากสังคมจีนสมัยใหม่เปิดกว้างในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าเดิม ไม่เพียงเฉพาะคู่รักร่วมเพศที่เปิดเผยตัวกันได้มากขึ้นเท่านั้น นักศึกษาบางรายถึงกับลงประกาศขายเซ็กส์ในอินเทอร์เน็ต เพื่อหาเงินไปจับจ่ายซื้อข้าวของที่ตนเองต้องการ นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการมีเซ็กส์ที่ไม่ถูกต้อง อันเกิดจากข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งสื่อต่าง ๆ สามารถเข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้เยาวชนรุ่นใหม่เองก็ทนต่อสิ่งยั่วยุและความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ได้ อีกทั้งยังไม่ได้รับการปลูกฝังเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้องจากพ่อแม่หรือจากที่โรงเรียนอย่างเหมาะสม ที่สำคัญพบว่าในปัจจุบันเด็กวัยมัธยมต้นของจีนก็เริ่มมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว และกลุ่มนักศึกษาก็เป็นวัยที่ไวต่อการมีกิจกรรมทางเพศที่สุด ส่งผลให้จำนวนนักศึกษาที่ติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าวิตกนั่นเอง