คนไทยนิยมใส่ถุงยาง ทำให้ติดเอดส์น้อยลง (ไทยรัฐ)
สธ.เผยมีผู้ติดเชื้อ เอชไอวี 359,807 ราย เสียชีวิตแล้ว 97,067 ราย ด้าน กรมควบคุมโรค เชิญ 2 กูรูด้านถุงยางอนามัย แสดงปาฐกถาหลังได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล...
เมื่อวันที่ 25 ม.ค. นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ป่วยเอดส์ในประเทศไทยล่าสุด ณ วันที่ 31ธ.ค. 2552 ว่า ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา รายงานว่า มีจำนวนผู้ป่วยเอดส์ 359,807 ราย เสียชีวิตแล้ว 96,067 ราย แนวโน้มของผู้ป่วยเอดส์เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ลดลงกว่าในอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากการรักษาผู้ป่วยเอดส์ด้วยยาต้านไวรัสทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนสถานการณ์ของโรคเอดส์พบว่าผู้ป่วยเอดส์ส่วนใหญ่เป็นวัยแรงงานและวัย เจริญพันธุ์ (อายุ 15-59 ปี) ร้อยละ 92.78 ผู้ป่วยเอดส์ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไปมีอัตราป่วย ร้อยละ 5.33 ในขณะที่กลุ่มเด็กอายุ 0-14 ปี มีอัตราป่วย ร้อยละ 5.80 ตามลำดับ
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวต่อว่า จากผลการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวีในประชากร 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2, 5 และนักเรียนระดับอาชีวะศึกษา 2.กลุ่มพนักงานชายและหญิงในสถานประกอบกิจการ 3.กลุ่มทหารกองประจำการ 4.กลุ่มหญิงขายบริการทางเพศ 5.กลุ่มประชากรทั่วไป และพบว่าทั้ง 5 กลุ่มมีแนวโน้มการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยกับกลุ่มแขก หรือลูกค้าประจำ ร้อยละ 93.7
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า กรมควบคุมโรค จัดปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ถุงยางอนามัยกับการป้องกันเอดส์" ที่ สถาบันบำราศนราดูร ได้รับเกียรติจาก 2 วิทยากร คือ นายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน และ นพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศมองโกเลีย ที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2552 ในสาขาการสาธารณสุข โดยผลงานของนายมีชัย วีระไวทยะ กระตุ้นให้รัฐบาลและสังคมทั่วไปตระหนักถึงความสำคัญในการใช้ถุงยางอนามัย มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารเรื่องโรคเอดส์ระดับชาติ และเป็นตัวอย่างความสำเร็จของประเทศไทย ในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีในเวทีระดับโลกอีกด้วย
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวด้วยว่า ส่วนผลงานของนพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร เกิดจากการริเริ่มโครงการถุงยางอนามัย 100 % ในปี 2532 ใน จ.ราชบุรี เผยแพร่ในกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศและขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งผลให้การมีผู้ป่วยใหม่ลดลงจากประมาณ 460,000 ราย ในปี 2534 เหลือประมาณ 11,000 ราย ในปี 2544 นอกจากนี้ยังนำโครงการถุงยางอนามัย 100 % ไปใช้ในหลายประเทศ ได้แก่ ประเทศกัมพูชา สหภาพพม่า สาธารณรัฐประชาชนจีน มองโกเลีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากผลงานจะเห็นได้ว่าวิทยากรทั้ง 2 คน เป็นผู้ทำให้เกิดผลสำเร็จในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคเอดส์และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของคนหลายร้อยล้านคนทั่วโลก
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
