อาบน้ำด้วยสบู่เหลวทำให้ตายเร็วขึ้น ฟอร์เวิร์ดเมล์ที่แชร์กันต่อมาอย่างนี้ มีข้อเท็จจริงมากน้อยแค่ไหน
หลายคนอาจจะเคยได้ยินหรือได้อ่านฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ว่าการใช้สบู่เหลวอาจจะทำให้ตายเร็ว เนื่องจากสบู่เหลวนั้นเต็มไปด้วยสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ซึ่งฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับนี้ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่ใช้สบู่เหลวไม่ใช่น้อย และในขณะที่หลายคนเชื่อไปแล้วว่าการใช้สบู่เหลวก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยว่าข้อมูลเหล่านี้มีมูลความจริงหรือไม่ หรือจะเป็นแค่เพียงฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ส่งกันแบบผิด ๆ
วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยจะพาไปทุกคนไปสืบค้นความจริงของเรื่องนี้กันค่ะ สบู่เหลวจะมีโทษอันตรายจริงหรือไม่ แล้วถ้าใช้ติดต่อกันไปนาน ๆ จะทำให้เป็นมะเร็งได้จริงหรือ เลื่อนลงไปอ่านกันเลยจะได้รู้ความจริงกันเสียที
อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้เราได้ทราบกันไว้ในเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ว่าสบู่เหลวไม่ได้ทำให้ตายเร็วขึ้น เพราะสารที่อยู่ในสบู่เหลวอย่างสารโซเดียม ลอริล ซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate) นั้นเป็นเพียงแค่สารที่ใช้ในความสะอาดที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง น้ำยาล้างจาน แชมพู ยาสีฟัน ซึ่งไม่มีอันตรายต่อสุขภาพแต่อย่างใด
นอกจากนี้เจ้าสารชนิดนี้ก็ยังไม่มีผลการศึกษาใดมายืนยันเป็นหลักฐานได้ว่าจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ อย่างมากที่สุดก็แค่ทำให้เกิดการระคายเคืองตาและผิวหนังเท่านั้น ส่วนที่มีความกังวลจะก่อให้เกิดมะเร็งได้นั้น ก็มาจากสาเหตุที่ว่าในสมัยก่อนอาจจะมีสารก่อมะเร็งที่ชื่อว่า 1,4-Dioxane ตกค้างในขั้นตอนการผลิต แต่ในปัจจุบันนี้มีการกำจัดในระหว่างการผลิตไปเรียบร้อยแล้วค่ะ
ทั้งนี้ สารโซเดียม ลอริล ซัลเฟต ก็ไม่ได้ถูกห้ามใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรปแต่อย่างใด การใช้ในระยะยาวก็ไม่ได้ทำให้กลายเป็นสารก่อมะเร็ง รวมทั้งร่างกายก็ไม่ได้มีการดูดซึมสารดังกล่าวผ่านผิวหนัง จึงทำให้ไว้ใจได้ว่าสบู่เหลวนั้นมีความปลอดภัย แต่ถ้าหากผู้ใช้มีอาการแพ้สารดังกล่าวก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารโซเดียม รอเรท ซัลเฟต แทนได้ เพราะสารชนิดนี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าค่ะ
ได้ทราบกันแบบนี้แล้วใครที่ยังเชื่อว่าสบู่เหลวเป็นอันตรายก็เปลี่ยนความคิดกันได้แล้วเนอะ อย่าให้ข้อมูลหลอกลวงเหล่านี้มาทำให้เราต้องหวาดระแวงกันอีกต่อไปเลย และต่อไปก็ควรจะใช้วิจารณญาณให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จเหล่านี้นะคะ