โกจิเบอร์รี หรือเก๋ากี้ สมุนไพรจีนที่ถูกเรียกขานว่ายาอายุวัฒนะ ล่าสุดแว่ว ๆ ว่าโกจิเบอร์รีก็ช่วยลดน้ำหนักได้ เฮ้ย…จริงอะ ?!
ต้องบอกว่ากระแสลดน้ำหนัก ปลุกให้คนหันมารักสุขภาพกันมากขึ้น อย่างอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักได้ ก็ถูกค้นพบและลิ้มลองกันมาเรื่อย ๆ โดยโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกันค่ะ ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะขอนำโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้มาสาธยายกันหมดเปลือก ให้ได้รู้ประโยชน์ของโกจิเบอร์รีครบทุกประเด็นสงสัย โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้ เท็จจริงแค่ไหนมาดู
โกจิเบอร์รี (GOJI BERRY) นี่คือชื่อในวงการอินเตอร์ค่ะ แต่แท้จริงแล้วโกจิเบอร์รีก็คือเก๋ากี้ สมุนไพรจีนที่มีมานานเป็นประวัติกาลเลยทีเดียว โดยโกจิเบอร์รีเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี มีสรรพคุณเด่น ๆ ที่คนในแถบเอเชียรู้จักกันดีในเรื่องความอุดมไปด้วยสารอาหารมากที่สุด
นอกจากนี้ผลการวิจัยของ Dr.Earl Mindell ยังช่วยตอกย้ำความจริงที่ว่า ผลโกจิเบอร์รีให้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก โดยมีกรดอะมิโน 19 ชนิด มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการรวม 21 ชนิด ได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และเจอร์มาเนียม (ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง) มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า มีวิตามินบี 1 บี 2 บี 6 และวิตามินอี ช่วยปรับความดันโลหิตให้เป็นปกติ และช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้กลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น
Dr.Earl Mindell ได้ค้นคว้าประโยชน์ของโกจิเบอร์รีแล้วพบว่า โกจิเบอร์รีช่วยเปลี่ยนอาหารที่เรากินเข้าไปให้เป็นพลังงานแทนไขมัน ดังนั้นจะบอกว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้ก็ไม่ผิดนัก
อีกทั้งโกจิเบอร์รียังอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายชนิดอย่างที่กล่าวไปข้างต้น จึงนับเป็นซูเปอร์ฟู้ด ชนิดหนึ่งที่ให้พลังงานกับร่างกายได้เต็มเปี่ยม นอกจากนี้โกจิเบอร์รียังมีรสหวานจากกลูโคส และมีไฟเบอร์สูงพอสมควร จึงช่วยคงระดับน้ำตาลในเลือดให้เราไม่รู้สึกหิวจุบจิบ แถมไฟเบอร์ที่มีอยู่ก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ลดความอยากอาหารสารพัดอย่าง และช่วยลดปริมาณอาหารที่จะกินในมื้อต่อ ๆ ไปได้
มาถึงตรงนี้ ประเด็นที่ว่าโกจิเบอร์รีช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหมก็คงได้คำตอบกันไปแล้วนะคะ แต่นอกจากประโยชน์ในเรื่องลดความอ้วนแล้ว โกจิเบอร์รียังมีประโยชน์ตามนี้อีกด้วย
โกจิเบอร์รี หรือเก๋ากี้ สรรพคุณเด่น ๆ จากผลไม้สีแดง
เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยให้มีความสุข
จากผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Alternative and Complementary Medicine เมื่อปี 2008 พบว่า อาสาสมัครที่ดื่มน้ำโกจิเบอร์รีเป็นประจำ นาน 15 วัน มีแนวโน้มสุขภาพแข็งแรงขึ้น อธิบายให้ชัดคือรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากกว่าที่เคยเป็น นอนหลับได้ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้นด้วย
ซึ่งเมื่อทดลองดื่มน้ำโกจิเบอร์รีต่อไปเรื่อย ๆ ก็ค้นพบว่า กลุ่มอาสาสมัครมีความเครียดน้อยลง ความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าลดลง ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และมีแนวโน้มความสุขสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ได้ดื่มน้ำโกจิเบอร์รีเป็นประจำ
ปกป้องผิวจากรังสียูวี
ผลการทดลองกับหนูที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Photochemical and Photobiological Sciences ปี 2010 พบว่า หนูที่กินน้ำโกจิเบอร์รีจะมีแนวโน้มต้านรังสียูวีและการอักเสบที่เกิดจากรังสียูวีแผดเผาได้มากกว่าหนูที่ไม่ได้กินน้ำโกจิเบอร์รี
ทั้งนี้นักวิจัยได้อ้างผลการศึกษาไว้ว่า อาจเป็นเพราะสารต้านอนุมูลอิสระในผลโกจิเบอร์รี ที่มีส่วนช่วยปกป้องและรักษาผิวจากรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บำรุงสายตา
โกจิเบอร์รีมีสารทัวรีน (Taurine) ซึ่งผลการศึกษาจาก Optometry and Vision Science เมื่อปี 2011 พบว่า สารทัวรีนมีคุณสมบัติบำรุงสายตาให้แจ่มใส โดยเฉพาะสายตาของผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาสายตาอันสืบเนื่องมาจากโรคเบาหวาน
ต้านเซลล์มะเร็ง
ด้วยความที่โกจิเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงสามารถปกป้องเซลล์ร่างกายจากการถูกทำลายด้วยเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระของโกจิเบอร์รียังช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เกิดการอักเสบ ปกป้องเซลล์จากความเสื่อมต่าง ๆ และป้องกันการเกิดเนื้องอกได้อีกด้วยนะคะ
โดยทั้งหมดนี้เราก็ไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอย ๆ แต่ยืนยันด้วยผลการศึกษาจากวารสาร Agricultural and Food Chemistry เมื่อปี 2008 ต่างหากจ้า
มีประโยชน์ต่อตับ และป้องกันอัลไซเมอร์
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Ethnopharmacology พบว่า ผลโกจิเบอร์รีช่วยลดความเสียหายของตับในหนูทดลองที่ได้รับสารเคมีที่เป็นพิษลงได้ โดยนักวิจัยคาดว่าคุณสมบัติในการป้องกันนี้อาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระในโกจิเบอร์รีนั่นเอง
นอกจากนี้การศึกษาเบื้องต้นในสัตว์ทดลองยังพบว่า โกจิเบอร์รีอาจช่วยให้น้ำตาลในเลือดสมดุล และนักวิจัยคาดว่านี่ยังอาจช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ได้ด้วย
โกจิเบอร์รี กินอย่างไร
แต่เดิมคนจีนมักจะนำโกจิเบอร์รีหรือเก๋ากี้ไปใส่ในซุป ใส่ลงไปในถ้วยชา เพราะส่วนมากแล้วเราจะเห็นโกจิเบอร์รีในรูปแบบอบแห้งมากกว่าผลสด ๆ จึงต้องนำโกจิเบอร์รีอบแห้งไปแช่หรือผสมในอาหารประเภทน้ำ ๆ หรือเหล่าเครื่องดื่มอย่างชา ไวน์ น้ำผลไม้ปั่น เป็นต้น
ทว่าจริง ๆ แล้วโกจิเบอร์รีก็มีความคล้ายคลึงกับลูกเกดไม่น้อยนะคะ อีกทั้งปัจจุบันก็มีโกจิเบอร์รีอบแห้งที่สามารถกินเล่นเพลิน ๆ วางจำหน่ายแล้วด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหากจะนำโกจิเบอร์รีไปผสมกับโยเกิร์ต สลัด ขนมปังปิ้ง หรือในซีเรียลก็ได้เช่นกัน หรือใครจะลองหาซื้อน้ำโกจิเบอร์รีสำเร็จรูปมาดื่มก็สะดวกดี
โกจิเบอร์รี ซื้อที่ไหน
ณ จุดนี้เรามีโกจิเบอร์รีวางขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปแล้วล่ะค่ะ ลองเดินหาแถบ ๆ ชั้นที่มีลูกเกดวางขาย หรือถ้าไม่เจอจะลองไปโซนอาหารแถบ ๆ เครื่องเทศ เครื่องปรุงยาจีนก็น่าจะมีอยู่ ส่วนสนนราคาก็ไม่แพง มีตั้งแต่โกจิเบอร์รี ราคา 30 บาทขึ้นไป แล้วแต่ปริมาณที่จะซื้อ และร้านค้าที่ไปซื้อนะคะ
โกจิเบอร์รี กินแค่ไหนถึงจะดี ?
อย่างที่บอกว่าปัจจุบันนี้มีโกจิเบอร์รีในรูปผลไม้อบแห้ง ซึ่งกินเล่นได้สบาย ๆ ดังนั้นหลายคนอาจกังวลว่าจะบริโภคโกจิเบอร์รีมากเกินความพอดีหรือเปล่า ซึ่งปริมาณที่ควรบริโภคโกจิเบอร์รีควรจะอยู่ที่ 6-18 กรัมต่อวัน ส่วนน้ำโกจิเบอร์รีก็ไม่ควรดื่มเกินวันละ 4 ออนซ์ (ประมาณ 118 มิลลิลิตร) นะคะ และอย่าลืมบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามสัดส่วนที่พอดีด้วย
ทั้งนี้ก่อนรับประทานโกจิเบอร์รีอาจต้องลองปรึกษาแพทย์ก่อนด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต หรือผู้ที่กินยาบางอย่างเป็นประจำ เพราะโกจิเบอร์รีอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวยาบางชนิดได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตและยาขยายหลอดเลือด เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
livestrong
WebMd
Healthline