ฟุตบอลยูโร 2016 เปิดฉากแล้ว แต่จะดูบอลอย่างไรไม่ให้เสียสุขภาพ อ่านเคล็ดลับตามนี้
เข้าสู่เทศกาลฟุตบอลยูโร 2016 ที่คอลูกหนังจะได้ตามเชียร์ทีมรักประกาศศักดาคว้าเจ้ายุโรป แต่ด้วยเวลาแข่งขันฟุตบอลหลายคู่ตรงกับช่วงกลางดึกของเมืองไทยแบบนี้ หากอดตาหลับขับตานอนทุกวันติดต่อกันแบบนี้สุขภาพพังแน่ ๆ เราเลยมีคำแนะนำมาฝากคอบอลให้ไปจัดตารางดูฟุตบอลกันแบบไม่เป็นซอมบี้ในวันรุ่งขึ้น
- ก่อนจะอดนอนดูฟุตบอล ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพและสามารถรับชมการแข่งขันได้ตลอดระยะเวลาของการถ่ายทอด
- ควรเลือกชมเฉพาะคู่พิเศษที่สนใจ จะช่วยลดปัญหาการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอได้
- ระหว่างการแข่งขันตลอดทัวร์นาเม้นท์ ควรหาเวลานอนพักผ่อนให้ได้ 6-8 ชั่วโมง แต่ถ้ามีเวลาพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรหาเวลาในช่วงพักเที่ยงหรือช่วงหัวค่ำก่อนการแข่งขันด้วยการงีบหลับ เพราะการนอนหลับไม่เพียงพออาจทำให้เกิดการอ่อนเพลีย ร่างกายอ่อนแอ และทำให้มีโอกาสเป็นหวัดได้ง่าย อีกทั้งยังมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายที่ควบคุมความอยากอาหาร ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความหิวจนสามารถนำไปสู่โรคอ้วนได้
- ควรชมฟุตบอลผ่านจอโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่ในระดับสายตา ไม่ใกล้เกินไป
- ควรพักสายตาในช่วงพักครึ่งการแข่งขัน
- ไม่ควรนั่งดูชมในที่มืด ต้องเปิดไฟลดความจ้าของแสงโทรทัศน์เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับตาได้
- หากชมการแข่งขันเป็นเวลานาน ๆ ควรนั่งอย่างถูกวิธีด้วยการนั่งบนเก้าอี้ห้อยขาลง ไม่ควรนั่งพับเพียบ ขัดสมาธิ หรืองอเข่านาน ๆ
- ควรเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างดูบอลบ้าง หรือออกกำลังกายด้วยการยืดเหยียดอย่างง่าย ๆ ระหว่างนั่งชมหรือช่วงพักการแข่งขัน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ทั้งกล้ามเนื้อแขน ขา คอ และหลัง จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น
- ควรชมการแข่งขันฟุตบอลเพื่อความสนุกและการส่งเสริมกีฬาเท่านั้น หลีกเลี่ยงการเล่นพนันบอล เพราะจะก่อให้เกิดความเครียดและมีปัญหาสุขภาพจิตตามมา
- ถึงจะนอนดึกก็ควรตื่นเช้าเช่นเดิม หลายคนเข้าใจว่านอนดึกตื่นสายเป็นสิ่งที่ดี เพราะถือเป็นการชดเชยกัน แต่แท้ที่จริงแล้วส่งผลเสียต่อร่างกาย เพราะความสมดุลของนาฬิกาในร่างกายได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากทำเช่นนั้นจะก่อให้เกิดภาวะเซื่องซึม สมองล้า
- หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ไม่ควรนอนดึกมากเกินไป ควรเลือกชมบางคู่เท่านั้น เพื่อไม่ให้อาการของโรคกำเริบ และไม่เชียร์ฟุตบอลด้วยความเครียด
นอนดึกแบบนี้ เลือกทานอะไรดี ?
- คนที่พักผ่อนน้อย เพราะนอนดึก ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5-2 ลิตรต่อวัน เพื่อป้องกันอาการร้อนใน
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อย เช่น น้ำผลไม้คั้นไม่เติมน้ำตาล เพื่อเติมวิตามินให้ร่างกาย
- ต้องวางแผนการทานอาหารล่วงหน้า คือในตอนกลางวันอาจไม่ต้องทานอาหารเต็มที่ ให้เผื่อไว้สำหรับมื้อดึกระหว่างดูบอล
- ถ้ารู้สึกหิวในมื้อดึก ควรทานอาหารที่ย่อยง่าย ไม่ให้พลังงานสูง ทานแล้วให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย เช่น ฝรั่ง ส้มโอ ชมพู่ แอปเปิล หรืออาจทานโจ๊ก น้ำเต้าหู้ที่ไม่หวานมากนัก ขนมจำพวกถั่วต่าง ๆ ทานได้บ้าง แต่ไม่ควรโรยเกลือ เพราะจะยิ่งทำให้ขาดน้ำ
- ควรทานผลไม้ที่ช่วยในการขับถ่าย เช่น ส้ม มะละกอ สับปะรด เพราะการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอส่งผลต่อระบบขับถ่าย ทำให้ท้องผูก
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารฟาสต์ฟู้ด ขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันสูง และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ที่มักจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในช่วงนี้ เพราะเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายน้อย และไม่ดีต่อสุขภาพ ให้พลังงานสูง จึงก่อให้เกิดโรคอ้วนตามมาด้วย
- ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะเพิ่มภาระต่อระบบการย่อยอาหารในร่างกาย
- ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะจะไปบีบหัวใจทำให้หัวใจทำงานหนัก หากรู้ว่าคืนนี้จะมีบอลคู่โปรดต้องอยู่ดึกให้ดื่มน้ำตามเยอะ ๆ จะช่วยไม่ทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย
- หลังตื่นนอน ควรทานอาหารที่เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ได้แก่ อาหารจำพวกนมวัว จะช่วยกระตุ้นสมอง หรือรับประทานอาหารจำพวกไก่ หรือไข่ เช่น ไข่ตุ๋น หรือซุปไก่ เพราะจะมีซิสเทอีน ช่วยกระตุ้นสมอง หรือจะรับประทานธัญพืช ช่วยสร้างสารสื่อประสาทในสมอง เช่น กระยาสารท งาดำ เป็นต้น
- ถ้าอดนอนมานาน ไม่ควรทานอาหารร้อน ๆ อาหารทอด มัน ๆ เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย เนื่องจากเวลากลางคืนจะเป็นเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมการอักเสบ ถ้าอดนอน ตื่นมาจะทำให้เจ็บคอ ร้อนใน เป็นสิวมากขึ้น เพราะเกิดการอักเสบขึ้นมาแทน
- ควรทานอาหารที่มีวิตามินบีและซีสูง เพื่อเป็นการชดเชยส่วนที่หายไป อย่าง ข้าวกล้อง ผักหรือผลไม้สด ๆ น้ำส้มคั้นสด ๆ แต่ถ้าหาได้ลำบากเป็นวิตามินสำเร็จรูป เช่น วิตามินบีรวม วันละ 1-2 เม็ด และวิตามินซีวันละ 1,000 มก. โดยวิตามินบีและซีจะช่วยทำให้สมองลดความเครียดได้
นอนดึกไม่ดีกับสุขภาพอยู่แล้ว ยิ่งถ้าดูฟุตบอลดึก ๆ ติดต่อกันเป็นแรมเดือน แถมยังกินจุบจิบ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพลิน ๆ ระหว่างนั่งชมไปด้วย มั่นใจได้เลยว่าจบศึกฟุตบอลครั้งนี้มีสารพัดโรคตามมาเป็นของแถมแน่ ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กระทรวงสาธารณสุข
กรมอนามัย