ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) หรือการตรวจค่าน้ำตาลสะสมในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนพฤติกรรมจริง และผู้ป่วยไม่ต้องอดอาหาร
จากสถิติล่าสุดของสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ ในปี 2558 ทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวาน 415 ล้านคน และจะเพิ่มเป็น 642 ล้านคนในปี 2583 โดยในทุก 6 วินาทีมีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวาน
วันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี องค์การอนามัยโลกและสหพันธ์เบาหวานนานาชาติ กำหนดให้เป็นวันเบาหวานโลก ธีมในปี 2559 คือ Eyes on Diabetes ซึ่งมุ่งให้ความสำคัญในการตรวจคัดกรองเบาหวาน โดยพบว่า 1 ใน 2 ของผู้ป่วยโรคเบาหวานยังไม่เคยรับการตรวจวินิจฉัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน การเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกัน หรือชะลอโรคแทรกซ้อนเรื้อรัง อาทิ เส้นเลือดในสมองแตก ตาบอด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และไตวาย
เบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดขึ้นเพราะการเสียสมดุลของการใช้น้ำตาลในเลือด ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หรือร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน โดยสามารถพบได้ในทุกวัย สัญญาณเตือนของโรคเบาหวานที่สังเกตได้คือ
• ปัสสาวะเยอะและบ่อย
• กระหายน้ำมาก
• น้ำหนักลด
• อ่อนเพลีย
• สายตาพร่ามัว
หากพบอาการอย่างหนึ่งอย่างใด ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจมีแสดงอาการเหล่านี้เพียงเล็กน้อย หรือไม่แสดงอาการเลย ดังนั้น จึงควรตรวจคัดกรองโรคเบาหวานด้วยวิธีที่มีความแม่นยำซ้ำทุก 1-3 ปี
ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกและสมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกาสนับสนุน การตรวจค่าน้ำตาลสะสม หรือ ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) ให้เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานได้
การตรวจฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) สามารถตรวจได้ในผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน หากได้ค่า HbA1c มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% ถือว่าเป็นเบาหวาน ซึ่งวิธีนี้มีความสะดวกมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ จากเดิมที่ต้องงดอาหารประมาณ 8-12 ชั่วโมงก่อนตรวจเลือด การตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานตั้งแต่เนิ่น ๆ และการควบคุมอย่างมีวินัยจะช่วยให้การอยู่อย่างเป็นสุขกับเบาหวานไม่ใช่เรื่องยาก
โดยทั่วไปผู้ที่จะเข้ารับบริการตรวจสุขภาพ ซึ่งรวมไปถึงผู้ทราบว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน บ่อยครั้งจะควบคุมอาหาร ดูแลสุขภาพ และออกกำลังกายก่อนเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรค เพื่อให้ได้ผลการตรวจสุขภาพที่ดี ทำให้ผลตรวจไม่สะท้อนถึงพฤติกรรมที่แท้จริงของผู้ป่วย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ได้แก่ ความอ้วน การไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน หรือเมื่ออายุมากกว่า 35 ปี ผู้มีภาวะเสี่ยงควรตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน และหากตรวจพบความเสี่ยง แล้วสามารถปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ หันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมถึงควบคุมน้ำหนักอย่างมีวินัย ก็จะช่วยป้องกันเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
การตรวจค่าน้ำตาลสะสม หรือ ฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) สามารถวินิจฉัยเบาหวานได้เร็ว สะดวก ไม่ต้องงดอาหารก่อนตรวจ ลดความหงุดหงิดจากความหิวและอาการวิงเวียนจากการอดอาหาร ซึ่งภาวะเครียดหรือเจ็บป่วยส่งผลให้ค่าน้ำตาลในเลือดแปรปรวนได้
การตรวจ HbA1c สามารถแสดงค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดในช่วง 8-12 สัปดาห์ที่ผ่านมา และไม่มีผลกระทบจากความแปรปรวนของระดับน้ำตาลในเลือดแต่ละวัน รวมถึงทราบพฤติกรรมแท้จริงของผู้ป่วยโรคเบาหวาน แพทย์จึงสามารถวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพื่อหยุดเบาหวาน และป้องกันหรือชะลอโรคแทรกซ้อนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้พิการและเสียชีวิตได้
ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่สนใจ สามารถเลือกรับการตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานด้วยการตรวจค่าน้ำตาลสะสม หรือฮีโมโกลบินเอวันซี (HbA1c) ตรวจเลือดไม่งดอาหาร ได้ที่โรงพยาบาลชั้นนำทั่วไป
ข้อมูลจาก
http://www.who.int/diabetes/publications/report-hba1c_2011.pdf
http://www.ngsp.org/ADA.asp
http://www.idf.org/about-diabetes/facts-figures
http://www.idf.org/news/world-diabetes-day-2016
http://www.idf.org/wdd-index/test2prevent.php
แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2557 (Clinical Practice Guideline for Diabetes 2014) โดยสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
http://www.who.int/diabetes/publications/report-hba1c_2011.pdf
http://www.ngsp.org/ADA.asp