x close

5 ข่าวสุขภาพฮอต ๆ ประจำปี 2010

 



2010 Health Buzz (Lisa)

        เหลืออีกแป๊บเดียวก็จะส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้วนะ ภายในหนึ่งปีมีข่าวฮอต ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของเรามากมาย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ จากต่างประเทศ ความเปลี่ยนแปลงในบ้านเรา หรือแม้แต่ข่าวดารากับวลีอมตะ "ดีเอ็นเออยู่บนหน้าลูก!" วันนี้ขออัพเดตกันสักหน่อย ย้อนรอยกันสักนิด ยังไงเรื่องสุขภาพก็ไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้วเนอะ

5 ข่าวสุขภาพฮอตๆ ประจำปี 2010

        ทบทวนกันหน่อยว่า อะไรเกิดขึ้นบ้างในปีที่ผ่านมาสำหรับเมืองไทยแดนฟ้าอมร

 1. "DNA อยู่บนหน้าลูก"


        ความจริงแล้ว แอนนี่ ก็พูดไม่ผิดเสียทีเดียวหรอกนะ เพราะว่า DNA หรือ Deoxyribonucleic Acid นั้นมีอยู่ในทุกอณูของร่างกายเรา มันเป็นโมเลกุลหลักของเซลล์ทุกเซลล์ และรวบรวมข้อมูลของบรรพบุรุษของเราเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม หากมันเปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อย อาจเกิดผลกระทบร้ายแรง และถ้ามันเสียหายเกินกว่า จะแก้ไขได้ เซลล์ก็จะตาย และอย่างที่เราทราบกันดีว่า DNA ของลูกย่อมได้รับสืบทอดมาจากพ่อและแม่ ดังนั้น การตรวจสอบ DNA จึงเป็นวิธีที่แม่นยำในการตรวจหาว่าใครคือพ่อ (หรือใครไม่ใช่พ่อ) และเคยมีข่าวซึ่งโด่งดังมากในเรื่องนี้เมื่อปี 2007 หลังจาก นางแอนน์ นิโคล สมิธ เสียชีวิต มีหนุ่ม ๆ 5 คน อ้างสิทธิ์เป็นพ่อของเด็ก หลังจากพิสูจน์จึงได้รู้กันว่าใครเป็นพ่อ เพราะเด็กก็มีพ่อทางพันธุกรรมได้เพียงคนเดียว

 2. "น้ำป้าเช็ง" น้ำมหาบำบัดลวงโลก

        ขอปรบมือให้ตำรวจไทยและองค์การอาหารและยา เมื่อมีการบุกจับ ป้าเช็ง ผู้อ้างว่าคิดค้นน้ำหมักชีวภาพ เพื่อผลิตเป็นยาหยอดตาจำหน่าย พร้อม ๆ กับโฆษณาผ่านเคเบิลทีวีและดาวเทียมแม้ว่าจะไม่มีอย. รับรอง ซึ่งรายงานจากอย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ชี้ว่า น้ำมหาบำบัดมีค่าความเป็นกรดสูง ไม่มีตัวยาทางแพทย์แผนปัจจุบันหรือสมุนไพรที่มีผลต่อการรักษาโรค และพบแบคทีเรียอันตรายผสมอยู่ หากรับประทานเข้าไปแล้วอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียภายใน 48 ชั่วโมง และหากปนเปื้อนในบาดแผล อาจทำให้แผลเน่าได้ ในขณะที่เกณฑ์มาตรฐานยาสมุนไพร ต้องไม่มีเชื้อโรคหรือแบคทีเรียปนเปื้อนเลย

        โดย พล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์ ผบก.ปคบ. ชี้ว่าการนำขยะมาสกัดทำยาหยอดตา เพื่อรักษาดวงตาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เบ็ดเสร็จแล้วป้าเช็งโดนข้อหาไป 4 กระทง หลังจากนั้น ยังมีมือดีนำไปทิ้งคลองทำให้เกิดกลิ่นเหม็นระรานชาวบ้านอีก...โหย ใช้ก็โดนไม่ใช้ก็โดนลูกหลง เบื่อจริง

 3. เด็กไทย IQ ต่ำ เบาหวานพุ่ง อาหารการกินเป็นเหตุ

         อย่าเพิ่งมึนกับตัวเลข แต่เราต้องจับเข่าคุยกันจริง ๆ จัง ๆ กับโภชนาการและความฉลาดของเด็กไทย เพราะผลการสำรวจ เพื่อประเมินระดับสติปัญญาของเด็กไทยของ พญ.ลัดดา เหมาะสุวรรณ และคณะ พบว่าเด็กอายุ 6-12 ปี มีไอคิวเพียง 88.1 ส่วนเด็กวัยรุ่นอายุ 13-18 นั้นยิ่งต้องกุมขมับ เพราะมีค่าเฉลี่ยเพียง 86.7 ตัวเลขนี้น่าตกใจแค่ไหนน่ะหรือ? ก็เพราะว่าค่า IQ ปานกลางนั้นอยู่ที่ 90-110 หมายความว่าเราต่ำกว่ามาตรฐาน และยังต่ำกว่า 91.9 ที่วัดได้ในเด็ก 6-12 ขวบเมื่อปี 2539-2540 ส่วนไอคิวเฉลี่ยของเด็กในประเทศพัฒนาแล้วจะอยู่ที่ 104 ในทางกลับกัน ตัวเลขเด็กเป็นเบาหวานประเภทสองกลับสูงถึงร้อยละ 18 ทั้งที่ในปี 2542 เรามีเด็กเป็นเบาหวานแค่ร้อยละ 2 เท่านั้น

         สิ่งนี้องค์การอนามัยโลกชี้ว่าเกิดจากภาวะขาดไอโอดีน ซึ่งมีครัวเรือนเพียง 47% เท่านั้นในประเทศไทยที่ได้รับไอโอดีนเพียงพอ ทั้งๆ ที่เราต้องจ่ายเงินค่าเกลือไอโอดีนเพียง 1.3 บาท ต่อคนต่อปีเท่านั้น และกรมอนามัยระบุว่าเด็กไทยซื้อขนมกิน เฉลี่ยคนละ 9,800 บาทต่อปี... ร่วมหมื่นเลยนะเนี่ย

 4. ม.5 เผาโรงเรียน! เรายัดความเครียดให้เด็กมากเกินไปรึเปล่า ?

        ถ้ายังจำข่าวนักเรียน ม.5 ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ เผาอาคารห้องสมุดของโรงเรียนกันได้ ตอนนี้ก็ถึงเวลาทบทวนบทเรียนที่เราได้รับจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

        โดย นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผอ. สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ เปิดเผยว่า 1 ใน 5 ของเด็กมีปัญหาสุขภาพจิต ตั้งความเครียด ปัญหากับเพื่อน และปัญหาที่นำไปสู่ภาวะอามรณ์ทั้งนี้ ภาวะสุขภาพจิตเด็กซับซ้อนขึ้นทุกวัน ซึ่งครูและอาจารย์ทั่วไป เช่น ครูแนะแนวครูที่ปรึกษา ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงมากขึ้น ดังนั้นคนรอบข้างจึงมีส่วนสำคัญ โดยต้องฝึกให้เด็กรู้จักสังเกตพฤติกรรมเพื่อน ส่วนครูต้องมีความรู้ด้านสุขภาพจิต และผู้ปกครองต้องมีเวลาติดต่อสื่อสารกับลูก หากเด็กเริ่มบ่นว่าไม่อยากเรียน ต้องเข้าไปพูดคุยเพื่อหาสาเหตุแล้วช่วยแก้ไข

 5. วัยรุ่นไทยท้องเร็วที่สุดในเอเชีย!

        คุณแม่ยังสาวก็เรื่องหนึ่ง แต่ "คุณแม่ยังเด็ก" เป็นปัญหาสังคมที่ต้องช่วยกันแก้ไข เพราะจากข้อมูลการสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าประเทศไทยมีจำนวนคุณแม่อายุต่ำกว่า 20 ปี ถึงร้อยละ 13 ทั้งที่เกณฑ์สากลระบุไว้ร้อยละ 10 ขณะที่ข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่าเมื่อปี 2551 เรามีทารกจากแม่อายุน้อยถึง 95,747 คน นอกจากนี้ เรายังคุณแม่ที่อายุต่ำกว่า 15 ปี มากกว่า 3,000 คนต่อปี โดยเมืองไทยมีค่าเฉลี่ยของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 70 ต่อ 1,000 คน เทียบกับในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 56 ต่อ 1,000 คน

        ทั้งนี้ น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้ประสานงานมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง ได้กล่าวว่า ปัญหาวัยรุ่นตั้งครรภ์มักจะพบในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด ปัญหาที่ตามมาก็คือครอบครัววัยเยาว์ เช่น แม่เรียน ม.2 พ่อเรียน ม.4 พอตั้งครรภ์ขึ้นมาผู้ใหญ่กับให้แต่งงานกัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีปัญหาครอบครัวตามมา... เฮ้อ


  เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย 

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ





ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
5 ข่าวสุขภาพฮอต ๆ ประจำปี 2010 อัปเดตล่าสุด 12 พฤศจิกายน 2553 เวลา 10:11:03
TOP