รมช.สธ.เตือนอันตรายจากผลิตภัณฑ์ต่อเล็บปลอม (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตือนสุภาพสตรีที่นิยมการต่อเล็บปลอม อาจได้รับอันตรายจากสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว โดยตรวจพบว่า มีการใช้สารเคมีกลุ่มอะครัยลิก โมโนเมอร์ (acrylic monomers) และฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งสารทั้งสองกลุ่มนี้เป็นสารที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อการแพ้สารเคมี
ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การต่อเล็บด้วยเล็บปลอมทั้งที่ทำจากพลาสติก และที่ทำจากสารเคมีกำลังเป็นที่นิยมในหมู่สุภาพสตรี ซึ่งเล็บปลอมที่ทำจากพลาสติกมีทั้งประเภทสำเร็จรูป คือ มีลวดลายต่าง ๆ กัน ราคาไม่แพง สามารถหาซื้อได้จากร้านค้า ห้างสรรพสินค้าทั่วไป หรือสามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยนำมาติดที่เล็บจริงด้วยกาว
และอีกประเภทหนึ่งคือ เล็บปลอมที่ต้องทำที่ร้านทำเล็บ โดยช่างเฉพาะทางที่ผ่านการฝึกอบรม ทำให้มีราคาแพงกว่าเล็บปลอมชนิดสำเร็จรูป และมีรายละเอียดมากในการต่อเล็บ ตั้งแต่การผสมสารเคมีให้เหมาะสม การขึ้นรูปให้เป็นรูปเล็บ การทำให้เล็บที่ต่อแข็งตัว และปรับแต่งให้เหมาะสมกับเล็บจริง จนกระทั่งเขียนลวดลายให้สวยงาม
ทั้งนี้ การต่อเล็บปลอมอาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อผู้ให้บริการและผู้บริโภคได้ เนื่องจากมีการใช้สารเคมีในกระบวนการต่อเล็บ ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ในการขึ้นรูปเล็บ เป็นสารเคมีในกลุ่มอะครัยลิก โมโนเมอร์ (acrylic monomers) และส่วนที่ทำให้เล็บที่ต่อแข็งตัว อาจมีสารเคมีฟอร์มัลดีไฮด์ (Formaldehyde) เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย ซึ่งสารทั้งสองกลุ่มนี้เป็นสารระเหยง่าย อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อสารเคมี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่ออีกว่า จากข้อมูลของสำนักเครื่องสำอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้สุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ต่อเล็บ จากร้านขายส่งในเขตกรุงเทพมหานคร 2 แห่ง ได้แก่ ตลาดสำเพ็งและตลาดประตูน้ำ และสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งสิ้น 35 ตัวอย่าง จำแนกเป็นผลิตภัณฑ์ต่อเล็บส่วนที่ทำให้เล็บแข็งตัว จำนวน 14 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์หาปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ พบว่ามี ปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์อยู่ในช่วงร้อยละไม่เกิน 0.12 โดยน้ำหนัก ส่วนผลิตภัณฑ์ต่อเล็บส่วนที่สร้างเล็บปลอม จำนวน 21 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์พบสารกลุ่มอะครัยลิก โมโนเมอร์ ชนิด เอทธิลีนไดเมทธาครีเลท (ethylene dimethacrylate)จำนวน 3 ตัวอย่าง ปริมาณไม่เกินร้อยละ 0.08 โดยน้ำหนัก
ด้านนางจุรีภรณ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยยังไม่มีการควบคุมปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ในผลิตภัณฑ์ทาเล็บ ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดชื่อ และปริมาณของวัตถุที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ที่ออกความตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 โดยปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้ได้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเล็บ เท่ากับร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก แต่ยังไม่มีการควบคุมและกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ส่วนที่ทำให้เล็บแข็งตัว และผลิตภัณฑ์ต่อเล็บส่วนที่สร้างเล็บปลอม เช่น สารในกลุ่มอะครัยลิก โมโนเมอร์ เป็นสารที่มีความเป็นพิษปานกลาง อยู่ในรูปแบบที่เป็นผง แต่เมื่อเตรียมเป็นของเหลวมีการระเหยเป็นไอของสารดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ดวงตาและระบบทางเดินหายใจ เป็นพิษเมื่อสูดดมได้ ผลการสำรวจและประเมินความเสี่ยงของ Danish EPA ให้ ค่าความปลอดภัยของสารกลุ่มอะครัยลิก โมโนเมอร์ ที่ให้ใช้ได้ในผลิตภัณฑ์ต่อเล็บที่ร้อยละ 0.1 โดยน้ำหนัก
นอกจากนี้ข้อควรระมัดระวังอย่างมากในการต่อเล็บปลอม ไม่ว่าจะทำเองหรือโดยช่างเฉพาะ คือ การเกิดหมักหมมของสิ่งสกปรกและเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเล็บปลอมที่หลุดลอกออกแล้วนำมาติดทับใหม่ โดยไม่ทำความสะอาดให้ดี ก็อาจเป็นผลให้เกิดเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตระหว่างชั้นเล็บ ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ หรือแพร่เข้าสู่ร่างกาย ขอแนะนำว่า ทั้งผู้ให้บริการและผู้บริโภคควรใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก เพื่อป้องกันการสูดดมสารเคมีดังกล่าว อีกทั้งผู้ให้บริการควรหมั่นดูแลรักษาความสะอาดเครื่องมือ และอุปกรณ์เป็นประจำ ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันเชื้อโรคได้อีกทางหนึ่ง
เคล็ดลับสุขภาพ สุขภาพใกล้ตัว โรคและการป้องกัน คลิกเลย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก