x close

โรคเอสแอลอี หากดูแลอย่างดี โรคจะไม่กำเริบ


ตรวจโรค

โรคเอสแอลอี หากดูแลอย่างดี โรคจะไม่กำเริบ  (หมอชาวบ้าน)
โดย : รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ

          โรคนี้แปลกตรงที่ยังไม่มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทย เลยไม่รู้จะบอกชื่อเป็นภาษาไทยได้อย่างไร แต่หลายคนก็เคยได้ยินโรคนี้กันมาบ้างแล้ว เพราะราชินีนักร้องลูกทุ่งคนดัง พุ่มพวง  ดวงจันทร์ ก็เสียชีวิตด้วยโรคนี้

            โรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อเต็มในภาษาอังกฤษว่า systemic Iupus erythematosus หรือเรียกง่าย ๆ ว่าโรคลูปัส เป็นโรคที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายระบบหรือหลายอวัยวะในร่างกาย ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไป โดยแทนที่จะทำหน้าที่ต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคจากภายนอกร่างกาย กลับมาต่อต้านหรือทำงานเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ก่อให้เกิดการอักเสบได้เกือบทุกอวัยวะของร่างกาย

            อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้บ่อย ได้แก่ ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การอักเสบนี้จะเป็นต่อเนื่องจนเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง

อะไรเป็นสาเหตุ

            ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ แต่มีหลักฐานที่บ่งบอกว่าปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มีส่วนร่วมในการทำให้เกิดโรคได้ คือกรรมพันธุ์ฮอร์โมนเพศหญิง ภาวะติดเชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสบางอย่าง

            นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมที่อาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคแล้ว หรือผู้ที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ มีโอกาสกำเริบขึ้น เช่น แสงแดด หรือแสงอัลตราไวโอเลต การตั้งครรภ์ ยาหรือสารเคมีบางชนิด การออกกำลังกายหรือทำงานหนัก ภาวะเครียดทางจิตใจ

ใครมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้บ้าง

          ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 20-45 ปี ที่พบมากสุดอยู่ในช่วงอายุประมาณ 30 ปี แต่ก็พบได้ในทุกช่วงอายุ ยังพบว่าผู้หญิงเป็นโรคเอสแอลอีมากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า

  ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอสแอลจึงจะมีอาการอย่างไร

          โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะ หรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ เช่น มีปวดบวมตามข้อ มีผื่นขึ้นที่หน้า มีขาบวม หน้าบวมจากไตอักเสบ หรือมีอาการทางระบบประสาท เป็นต้น บางรายมีอาการเฉียบพลันรุนแรง บางรายมีอาการค่อยเป็นค่อยไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

อาการที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่าง ๆ ที่สำคัญคือ

          อาการทางผิวหนัง :  ผู้ป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่บริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และโหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อ หรือมีผื่นแดงคันบริเวณนอกร่มผ้าที่ถูกแสงแดด หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใบหู มีแผลในปากโดยเฉพาะบริเวณเพดานปาก นอกจากนี้ยังมีผมร่วงมากขึ้น

          อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ : ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อมักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย

          อาการทางไต : ผู้ป่วยมักมีอาการบวมบริเวณเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เนื่องจากมีอาการอักเสบที่ไต รายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนถึงขั้นไตวายได้ในระยะเวลาอันสั้น

          อาการทางระบบเลือด : ผู้ป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดลง ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย มีภาวะติดเชื้อง่าย หรือมีจุดเลือดออกตามตัวได้

          อาการทางระบบประสาท : ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีอาการพูดเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง หรือคล้ายคนโรคจิตจำญาติพี่น้องไม่ได้ เนื่องจากมีการอักเสบของสมองหรือหลอดเลือดในสมอง

          นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการทั่วไป เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ จิตใจหดหู่ร่วมด้วยได้

          ให้พึงสังเกตว่าอาการของโรคมักจะแสดงความรุนแรงมากหรือน้อยภายในระยะเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีอาการ หลังจากนั้นมักจะเบาลงเรื่อย ๆ แต่อาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้เป็นครั้ง ๆ

เมื่อไรควรสงสัยว่าเป็นโรคนี้

          1. มีไข้ต่ำ ๆ ไม่ทราบสาเหตุ เป็นเวลานาน

          2. มีอาการปวดตามข้อ

          3. มีผื่นขึ้นบริเวณใบหน้า หรือมีผื่นคันบริเวณที่ถูกแสงแดด

          4. มีผมร่วงมากผิดปกติ

          5. มีอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา

การรักษาโรคนี้ทำอย่างไร

          การรักษา โรคเอสแอลอี จะต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับตัวโรคของผู้ป่วย การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องของผู้ป่วย และการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้ทำการรักษา

          การเลือกวิธีการรักษาโรคนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผู้ป่วยแต่ละราย ถ้าผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือแอสไพริน หรือยาลดการอักเสบก็ควบคุมอาการได้

          สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงขึ้น อาจต้องใช้ยาประเภทสตีรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกันในขนาดต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับความรุนแรงและระบบอวัยวะที่มีการอักเสบ

ผู้ป่วยโรคนี้ ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

          การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคเอสแอลอีให้ได้ผล การปฎิบัติตัวที่ถูกต้องทำได้ดังนี้

          1. พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดตั้งแต่ช่วง 10.00-16.00 น. ถ้าจำเป็นให้กางร่ม ใส่หมวก สวมเสื้อแขนยาว ใช้ยาทากันแดด

          2. พักผ่อนให้เพียงพอ

          3. หลีกเลี่ยงความตึงเครียด พยายามฝึกจิตใจให้ปล่อยวาง ทำใจยอมรรับกับโรคและปัญหาอื่น ๆ

          4. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ

          5. ไม่กินอาหารที่ไม่สุกหรือไม่สะอาด

          6. กินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

          7. ไม่กินยาเองโดยไม่จำเป็นเพราะยาบางตัวอาจทำให้โรคกำเริบได้

          8. ป้องกันการตั้งครรภ์ขณะโรคยังไม่สงบ และหลีกเลี่ยงการคุมกำเนิดโดยวิธีใส่ห่วง เพราะมีโอกาสติดเชื้อสูงกว่าปกติ

          9. เมื่อโรคอยู่ในระยะสงบสามารถตั้งครรภ์ได้ โดยได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

          10. หลีกเลี่ยงจากสถานที่แออัด และไม่เข้าใกล้ผู้ที่กำลังเป็นโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด เพราะมีโอกาสติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย

          11. ถ้ามีลักษณะที่บ่งชี้ว่าการติดเชื้อ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น มีฝีตุ่มหนองตามผิวหนัง ไอเสมหะเหลือง-เขียว ปัสสาวะแสบขัด ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที

          12. หากกินยากดภูมิคุ้มกันอยู่ ให้หยุดยานี้ชั่วคราวในระหว่างที่มีการติดเชื้อ

          13. มาตรวจตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ

          14. ถ้ามีอาการผิดปกติที่เป็นอาการของโรคกำเริบให้มาพบแพทย์ก่อนนัด เช่น มีอาการไข้เป็น ๆ หาย ๆ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด บวม ผมร่วง ผื่นใหม่ ๆ ปวดข้อ เป็นต้น

          15. ถ้ามีการทำฟัน หรือถอนฟัน ให้กินยาปฎิชีวนะก่อนและหลังทำฟัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยต้องปรึกษาแพทย์สม่ำเสมอ

ผู้ป่วยโรคเอสแอลอีจะเสียชีวิติก็ต่อเมื่อ

          1. จากตัวโรคเอง ผู้ป่วยมีอาการอักเสบรุนแรงของอวัยวะสำคัญ เช่น ไต สมอง หลอดเลือด โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

          2. จากภาวะติดเชื้อ เนื่องจากโรคนี้ทำให้ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติอยู่แล้ว ยาที่ผู้ป่วยได้รับทั้งยาสตีรอยด์ และยากดภูมิคุ้มกันยิ่งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป

          3. จากยาหรือวิธีการรักษาที่ไม่ถูกต้อง หรือขนาดยาที่ไม่เหมาะสม

           อ่านมาตั้งแต่ต้นจะเห็นว่า โรคเอสแอลอี เป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งที่มีอาการและอาการแสดงได้หลากหลาย มีความรุนแรงได้ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก การรักษาที่ถูกต้องเริ่มตั้งแต่มีอาการจะทำให้ผู้ป่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากโรค หรือเกิดความพิการน้อยลง

          การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยอย่างถูกต้อง เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ถึงแม้โรคนี้จะไม่หายขาด แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้โรคเข้าสู่ระยะสงบได้ ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้เหมือนปกติทั่วไป




ขอขอบคุณข้อมูลจาก







เรื่องที่คุณอาจสนใจ
โรคเอสแอลอี หากดูแลอย่างดี โรคจะไม่กำเริบ อัปเดตล่าสุด 14 ตุลาคม 2552 เวลา 10:50:39 2,421 อ่าน
TOP