โรคตาดับ...หมั่นจับสังเกตตัวเอง ก่อนมองไม่เห็น


ดวงตา


โรคตาดับ (หมอชาวบ้าน)
โดย รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศ์กิตติรักษ์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

          เมื่อหลายปีก่อน คนไทยคงได้ยินโรคใหม่โรคหนึ่งคือ "โรคหูดับ" คือภาวะที่มีการสูญเสียความสามารถในการได้ยินอย่างเฉียบพลัน สำหรับอวัยวะที่มีความสำคัญอีกอวัยวะหนึ่งคือ "ดวงตา" ก็อาจเกิดปัญหา "โรคตาดับ" ได้เช่นกัน

          โรคตาดับ หมายถึง โรคหรือภาวะที่มนุษย์มีการสูญเสียความสามารถในการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน อาจเกิดกับดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน โดยอาจมีสาเหตุได้จากหลายโรค เช่น โรคต้อหินเฉียบพลัน โรคของจอประสาทตา หรือโรคของเส้นประสาทตา

          ความสำคัญที่เราต้องรู้จักกับภาวะตาดับ เพราะหลาย ๆ โรคอาจสามารถได้รับการรักษาให้กลับมามองเห็นอีกครั้งได้ แต่มักต้องเป็นการรู้ตัวอย่างทันทีและได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ด้วยวิธีที่เหมาะสมในเวลาอันรวดเร็ว

          ดังนั้น คงต้องขอแนะนำท่านผู้อ่านให้มีการสังเกตความสามารถในการมองเห็นของตาตนเองเป็นระยะ ทั้งการมองเห็นของตา 2 ข้างพร้อมกัน หรือการทดสอบปิดตามองทีละข้างเพื่อเปรียบเทียบกันระหว่าง 2 ตาเป็นระยะ หรือเมื่อเกิดอาการผิดปกติสงสัยว่าตาข้างใดข้างหนึ่งผิดปกติ ต้องทำการทดสอบและหาทางเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

          หากแบ่งสาเหตุของโรคตาที่ทำให้เกิด "โรคตาดับเฉียบพลัน" สามารถแบ่งตามลักษณะอาการปวดที่พบร่วมกับการสูญเสียความสามารถในการมองเห็นได้ 2 กลุ่มดังนี้

          กลุ่มที่ 1 สาเหตุตาดับจากโรคที่การมองเห็นแย่ลงโดยไม่มีอาการปวดตาร่วมด้วย

          กลุ่มที่ 2 สาเหตุตาดับจากโรคที่การมองเห็นแย่ลงโดยมีอาการปวดตาร่วมด้วย


ดวงตา


โรคที่การมองเห็นแย่ลงโดยไม่มีอาการปวดตาร่วมด้วย

          1. โรคหลอดเลือดแดงจอประสาทตาอุดตัน (Central retinal artery occlusion) จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการตาข้างใดข้างหนึ่งมืดลงทั้งหมดอย่างทันทีในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่มีอาการปวดตาร่วมด้วย โรคนี้เป็นโรคร้ายแรง จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์อย่างรวดเร็วภายในเวลา 6-24 ชั่วโมงจึงอาจมีโอกาสกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

          2. โรคจอประสาทตาหลุดลอก (Retinal detachment) คือ การลอกตัวของจอประสาทตา จะทำให้ผู้ป่วยมองเห็นเหมือนมีม่านดำบังการมองเห็นของตาข้างใดข้างหนึ่ง เริ่มเห็นเป็นเงาดำ บางบริเวณและขยายขนาดเงาดำกระทั่งอาจมองไม่เห็นอย่างสมบูรณ์ ในผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการเห็นจุดหรือเส้นดำลอยไปมาจากภาวะวุ้นในตาเสื่อม หรือมีอาการเห็นฟ้าแลบในตาข้างนั้นนำมาก่อน หรืออาจไม่มีอาการใดนำมาก่อนเลยก็ได้

          3. โรคเลือดออกใต้จุดรับภาพ (Submacular hemorrhage) อาจเกิดตามหลังผู้ที่มีปัญหาจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ หรือเคยมีอุบัติเหตุกับดวงตาทำให้เกิดหลอดเลือดผิดปกติบริเวณใต้จุดรับภาพ และเกิดภาวะเลือดออกใต้จุดรับภาพ ทำให้การมองเห็นบริเวณกลางภาพแย่ลงทันที และอาจขยายขนาดบริเวณการมองเห็นที่ถูกบังได้ เช่นเดียวกับโรคจอประสาทตาลอก


โรคที่การมองเห็นแย่ลงโดยมีอาการปวดตาร่วมด้วย

          1. โรคต้อหินเฉียบพลัน (Acute glaucoma) ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวข้างใดข้างหนึ่งร่วมกับอาการปวดบริเวณดวงตาและศีรษะข้างนั้นอย่างรุนแรง ภายในเวลาไม่กี่นาทีถึงชั่วโมงตาข้างนั้นจะแดงและมัวลงอย่างมาก จากภาวะความดันในลูกตา บางรายอาจปวดศีรษะมากกระทั่งคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย หากสงสัยอาการจากโรคต้อหินเฉียบพลันต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อให้การรักษาอย่างรวดเร็ว

          2. โรคเส้นประสาทตาอักเสบ (Optic neuritis) ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวลงข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ตา โดยมักมีอาการปวดลึก ๆ ในตาเมื่อมีการกลอกตา การสูญเสียการมองเห็นอาจเป็นทุกบริเวณหรือเป็นเฉพาะบางบริเวณก่อนในช่วงแรก การให้การรักษาอย่างถูกต้องจะทำให้สามารถกลับมามองเห็นใหม่ได้

          จะเห็นได้ว่า "โรคตาดับ" เป็นภาวะอันตรายต่อดวงตา อาจเกิดจากโรคร้ายแรงทางตาได้หลายโรค ดังนั้นหากพบผู้ที่มีปัญหาการสูญเสียความสามารถในการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน ควรรีบสังเกตให้เร็วที่สุดและไปพบแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมอาจทำให้ภาวะโรคตาดับสามารถได้รับการรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้






ขอขอบคุณข้อมูลจาก






เรื่องที่คุณอาจสนใจ
โรคตาดับ...หมั่นจับสังเกตตัวเอง ก่อนมองไม่เห็น อัปเดตล่าสุด 17 ตุลาคม 2556 เวลา 15:16:22 122,073 อ่าน
TOP
x close