รับมือกับโรคกวนใจ

ตรวจสุขภาพ

รับมือกับโรคกวนใจ (Health Plus)

          คุณรู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญกับโรคที่เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหายอยู่ใช่ไหม ทำตามเคล็ดลับเพื่อสุขภาพต่อไปนี้ดูสิ รับรองช่วยได้

          แผลในช่องปากทำให้กินอะไรก็ลำบาก ปวดหัวอีกแล้ว เป็นหวัดบ่อย อาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่างจะคอยก่อความรำคาญ ไม่ปล่อยให้คุณอยู่อย่างสงบ โรคเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะมีวิธีรับมือด้วยตนเองได้อย่างไร

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

          ทุกครั้งที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คุณมักปล่อยเลยตามเลย อาการที่พบคือ รู้สึกปวดขัด หรือปวดแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดไม่เป็นอันตรายที่อยู่ในลำไส้ แพร่กระจายเข้าไปยังท่อปัสสาวะซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อกับกระเพาะปัสสาวะ หรือเกิดจากแบคทีเรียจากทวารหนักเข้าไปในช่องคลอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยทอง เนื่องจากขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ช่องคลอดแห้ง จึงมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

วิธีรับมือ

          หากมีอาการ ให้ผสมโซดาไบคาร์บอเนต 1 ช้อนชากับน้ำครึ่งลิตรดื่มทันที จากนั้นตามด้วยการดื่มน้ำ ¼ ลิตรทุก 20 นาที นาน 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด จึงควรปฏิบัติตามเคล็ดลับต่อไปนี้

          เข้าห้องน้ำทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพราะเชื้อแบคทีเรียไม่ว่าชนิดใดสามารถชำระล้างได้ด้วยน้ำ

          ดื่มน้ำวันละ 2.5 ลิตร

          เช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศไปจนถึงทวารหนัก หลังเข้าห้องน้ำ

          สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ

          ดื่มน้ำแครนเบอร์รี่ เนื่องจากแครนเบอร์รี่มีสารประกอบที่ป้องกันท่อปัสสาวะติดเชื้อ "ทานแลคโตบาซิลลัสและกระเทียมสดมาก ๆ จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน" มาริลีน เกรนลิลล์ นักโภชนาการบำบัดและผู้เชี่ยวชาญของ Health Plus กล่าว ทานอาหารที่มีแมกนีเซียมมาก ๆ พบในถั่วเปลือกแข็ง, ธัญพืชที่ผ่านการขัดสีน้อยหรือโฮลเกรน จะช่วยป้องกันไม่ให้โรคกลับมากำเริบอีก

คุณหมอช่วยด้วย

          แพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะ และอาจตรวจหาเบาหวาน ซึ่งกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่งของโรคเบาหวาน หากกระเพาะปัสสาวะที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจาการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน แพทย์จะแนะให้ใช้ครีมเอสโตรเจน และหากมีอาการผิดปกติในวัยทองอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น ร้อนวูบวาบตามร่างกาย เหงื่อออกตอนกลางคืนแพทย์อาจแนะให้ใช้วิธีให้ฮอร์โมนเสริม (HRT)

เชื้อราในช่องคลอด

          อาการที่พบคือคัน แสบแดง ระคายเคืองรอบช่องคลอด มีตกขาวเป็นก้อนคล้ายโยเกิร์ต สาเหตุเกิดจากเชื้อราแคนดิดาอัลบิแคนส์ ที่ตามปกติอยู่ในช่องคลอดเจริญเติบโตมากขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เชื้อราแคนดิดาเติบโตได้ดี เช่น เกิดการอับชื้นที่จุดซ่อนเร้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมีผลกระทบต่อระดับ pH ในช่องคลอด การกินอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป การใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมและครีมอาบน้ำที่มีฟอง

วิธีรับมือ

          มีวิธีมากมายที่จะช่วยบรรเทาอาการซึ่งคุณสามารถทำได้ เช่น ใช้ยาต้านเชื้อราอย่างไดฟลูแคน (Diflucan) หรือครีมคาเนสเทน (Canesten cream) หรือจะใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม ชุบเจนเชี่ยนไวโอเลต หรือใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือหยดทีทรีออย 3 หยดลงบนผ้าอนามัย แน่นอนการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าโรคนี้จะไม่กลับมาอีก คุณต้องทำตามแผนปฏิบัติดังนี้

          กล่าวคือเพิ่มแบคทีเรียที่เป็นมิตร เพราะจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ไม่ดี ดังนั้นจึงควรทานโยเกิร์ตที่มีแลคโตบาซิลลัสอะซิโดฟิลัสมาก ๆ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม และครีมอาบน้ำที่มีฟองซึ่งจะไปฆ่าแบคทีเรียที่ดี เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม ซู ซน็อกออล ผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาลแห่ง Women’s Health Concern กล่าว "อย่าสวมกางเกงรัดตึง ควรสวมถุงน่องและกางเกงในผ้าฝ้าย ถ้าจะให้ดีควรทานกระเทียมซึ่งมีสรรพคุณเป็นแอนตี้ไบโอติกตามธรรมชาติ" มาริลีน เกลนวิลล์ บอก "ดีที่สุดควรทานดิบ ๆ โดยผสมกับน้ำสลัด หรือโรยบนอาหาร"

คุณหมอช่วยด้วย

          หากการรักษาด้วยตนเองไม่ได้ผล แพทย์จะให้ทานยาต้านเชื้อรา บางครั้งเชื้อราในช่องคลอดที่หวนกลับมาเป็นอีกอาจชี้ว่าคุณเป็นเบาหวาน ในกรณีนี้แพทย์จะตรวจปัสสาวะ

หวัดและไข้หวัดใหญ่

          หลายคนหงุดหงิดเวลาเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล มีไข้ สำหรับไข้หวัดธรรมดา อาการที่พบคือจามคัดจมูก เจ็บคอ มีไข้อ่อน ๆ ส่วนไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง จาม เจ็บคอ และไอ

          "อาหารที่ไม่มีประโยชน์ การนอนน้อยเกินไป และวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเครียดทำให้ร่างกายอ่อนแอ เป็นไข้หวัดง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานอ่อนแอ จึงทำให้คุณติดเชื้อได้ง่าย"

          ศาสตราจารย์รอนเอคเคิ่ล ผู้อำนวยการ the Common Cold Centre แห่งมหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ กล่าว "การใช้เวลาอยู่กับเด็กเล็กนาน ๆ ยิ่งทำให้เสี่ยงติดหวัดมากขึ้น เพราะเด็กมักเป็นพาหะนำโรคชั้นดี บุหรี่ก็เช่นกันทำให้ภูมิต้านทานลดลง พันธุกรรมก็มีส่วนเช่นกัน บางคนเกิดมามีภูมิต้านทานโรคมากกว่าคนอื่น"

วิธีรับมือ

          ถ้าคุณเป็นหวัดง่าย ยาที่วางขายตามร้านยา เช่น แอสไพริน พาราเซตามอลและไอบูโพรเฟนคือสิ่งที่คุณคร่ำครวญหา อย่าลืมดื่มน้ำมาก ๆ และเสริมด้วยวิตามินซีซึ่งเป็นคู่ต่อกรเชื้อโรคที่สำคัญ การกินผักผลไม้มาก ๆ บวกกับอาหารเสริม 1,000 มิลลิกรัม มาริลีน เกลนวิลล์ แนะให้รับประทานกระเทียมและสมุนไพร Echinacea ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ไข้หวัดย้อนกลับมาเล่นงานได้อีก คุณจำเป็นต้องเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แข็งแรง
"การกินผักผลไม้สดมาก ๆ ออกกำลังกายเป็นประจำนอนหลับให้เพียงพอ อย่าปล่อยให้ความเครียดครอบงำ" ศาสตราจารย์เอคเคิ่ลกล่าว "การล้างมือบ่อย ๆ เพื่อหยุดไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายก็ช่วยได้เช่นกัน"

คุณหมอช่วยด้วย

          เมื่อเป็นหวัด ไม่มีอะไรมากไปกว่าซื้อยามารับประทาน (ยาปฏิชีวนะไม่สามารถต้านหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ได้) อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์ หากเป็นหวัดนานเกิน 14 วันหรือไอเป็นเลือดหรือเสมหะมีสีเขียว ๆ ถ้าอาการไข้หวัดไม่ยอมทุเลา แพทย์อาจต้องตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของโรค

วิงเวียนศีรษะ

          คุณเคยรู้สึกมึนงงหรือหน้ามืดเวลาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วใช่ไหม "โดยเฉพาะผู้หญิงช่วงใกล้วัยทอง หรือวัยทองบางคนมักมีอาการวิงเวียนศีรษะและปวดศีรษะ" ซู ซน็อกออล กล่าว สาเหตุเกิดจากระดับฮอร์โมนขึ้น ๆ ลง ๆ รวมถึงความวิตกกังวล และระดับน้ำตาลในเลือดต่ำอันเนื่องมาจากการขาดอาหาร

วิธีรับมือ

          กินอาหารให้เป็นเวลา เลือกอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดในคงที่ กินอาหารวันละ 3 มื้อบวกกับของว่าง (งดเว้นของว่างจำพวกช็อกโกแลต เพราะจะทำให้ร่างกายอยากของหวานมากขึ้น) งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์

คุณหมอช่วยด้วย

          มีอาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะเป็นประจำ ควรไปพบแพทย์ "ผู้หญิงบางคนพบว่าการให้ฮอร์โมนเสริม ช่วยบรรเทาอาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะได้" ซูบอก "แต่ต้องแน่ใจว่าอาการดังกล่าวไม่ได้มีที่มาจากโรคอื่น เช่น โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของหูหรือความดันโลหิต อาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะยังอาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคโลหิตจาง หรือความผิดปกติของไธรอยด์" แพทย์หญิงอแมนด้า เคอร์บี้ กล่าว

แผลในปากและเหงือกอักเสบ

          แผลในปากเป็นโรคที่ทำให้รู้สึกเจ็บในปากอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นตอนพูดหรือยิ้ม และจะรู้สึกเจ็บจี๊ดเวลากินอาหารที่มีรสเผ็ดหรือเค็ม ถ้าเป็นบ่อย ๆ ก็จำเป็นต้องหาวิธีแก้ไขที่ต้นเหตุ "แผลในปากมักเกิดเวลาที่คุณอ่อนเพลียเครียด สูบบุหรี่หรือชอบกินอาหารเผ็ด ๆ" มาอีฟ โอคอนเนล เภสัชกร กล่าว สาเหตุอื่น ๆ เกิดจากกินของกรุบกรอบ ช็อกโกแลต และน้ำอัดลม ส่วนเหงือกอักเสบเกิดจากการแปรงฟันแรงเกินไป (เลือกแปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม) แต่โดยมากเกิดจากอนามัยในช่องปากไม่ดีและเป็นสัญญาณของโรคเหงือก

วิธีรับมือ

          มีวิธีรับมือแผลในปากมากมาย เช่น ใช้ Bonjela ซึ่งเป็นยารักษาแผลในช่องปาก หรือจะบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ โดยละลายเกลือครึ่งช้อนชากับน้ำ 1 แก้ว แต่วิธีนี้จะทำให้คุณรู้สึกเจ็บแทบคลั่งอยู่สักประเดี๋ยว หรือจะใช้น้ำผึ้งทาบริเวณที่เป็นแผลในปากก็ได้ สำหรับเหงือกอักเสบให้ใช้น้ำยาบ้วนปาก หรือกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ แต่ก็ควรไปพบทันตแพทย์ด้วย หมั่นตรวจสุขภาพในช่องปาก และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำจะช่วยให้อาการเหงือกอักเสบหายได้

คุณหมอช่วยด้วย

          แผลในปากจะหายได้เองภายใน 10-14 วัน มาอีฟบอก แต่ถ้าไม่หาย โดยเฉพาะหลังจากใช้ยาหรือรักษาด้วยวิธีการอื่น ๆ แล้ว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง แย่ที่สุดอาจถึงขั้นเป็นมะเร็งปาก

          หากคุณเป็นแผลช่องปากบ่อย ๆ เดี๋ยวเป็นเดี๋ยวหาย (เป็นทุก 2-3 สัปดาห์) อาจเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก โดยแพทย์จะตรวจเลือดเพื่อหาค่าเหล็ก หรืออาจเกิดจากการย่อยกรดมากเกินไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเครียด การกินอาหารเผ็ดหรือมันเกินไป หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป

ปวดศีรษะ

          จากการศึกษาวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงต้องทนทรมานกับอาการปวดศีรษะแทบทุก 2 สัปดาห์ "สาเหตุของการปวดศีรษะเกิดจากความเครียดหรือวิตกกังวล หรือเกิดจากการนั่งผิดท่า ขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์" แพทย์หญิงอแมนด้า เคอร์บี้กล่าว

วิธีรับมือ

          "ถ้าคุณปวดศีรษะเป็นประจำ ให้ลองสำรวจไลฟ์สไตล์ของคุณดูว่า ความเครียดที่ได้รับเกิดจากที่บ้านหรือที่ทำงาน ตรวจดูโต๊ะทำงาน ดูสิว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์มีที่บังหน้าจอ หรือคุณนั่งทำงานถูกท่าหรือไม่" แพทย์หญิงเคอร์บี้แนะ "คุณอาจจำเป็นต้องตรวจเช็กสายตาด้วย เผื่อต้องสวมแว่นถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไป เมื่อมีอาการให้ทานยาแก้ปวดศีรษะซึ่งมีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ยาพื้น ๆ เช่นแอสไพริน พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ไปจนถึงยาที่ผลิตขึ้น เพื่อแก้ปวดศีรษะโดยเฉพาะ เช่น Hedex หรือจะนวดหนังศีรษะเบา ๆ หรือเคี้ยวขิงเคลือบน้ำตาล (crystallisedginger) ก็ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้เช่นกัน

คุณหมอช่วยด้วย

          ปวดศีรษะอาจเป็นอาการหนึ่งของความดันโลหิตสูง ความผิดปกติในการมองเห็น หรือเป็นอะไรที่ร้ายแรงและพบได้ไม่บ่อยนัก อาจหมายถึงต้อหินหรือเนื้องอกในสมอง แพทย์หญิงเคอร์บี้บอก "ถ้ามีอาการอื่น นอกเหนือจากปวดศีรษะ คุณควรไปพบแพทย์ ตัวอย่าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือความผิดปกติในการมองเห็น ควรไปพบแพทย์ถ้าปวดศีรษะรุนแรงขึ้น หรือปวดจนสะดุ้งตื่นกลางดึก ชนิดทานยาแก้ปวดแล้วยังไม่หาย หรือปวดเกิน 2-3 วัน"

เริมที่ปาก

          เริมที่ปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส herpes simplex ผู้ที่ได้รับเชื้อครั้งแรกจะยังไม่มีอาการ จนมีภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะแบ่งตัว ทำให้เกิดตุ่มใสแสบและคันที่ปาก

วิธีรับมือ

          เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเชื้อไวรัสที่ติดมาได้ แต่เราสามารถมองหาต้นตอของโรคดังกล่าวเพื่อป้องกันได้ อาทิ รังสีอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดดหรือกำลังได้รับการฉายรังสี อากาศหนาว ความเครียดและอ่อนเพลีย เป็นหวัด หรือเกิดจากอาหารบางชนิด (เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และช็อกโกแลต) ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคได้ทั้งสิ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นต้นตอ ทาครีมกันแดดบนริมฝีปาก และเสริมสร้างภูต้านทานโดยการทานอาหารที่มีกรดอะมิโนเรียกว่า ไลซีน พบในปลาและอาหารที่ได้จากผลิตภัณฑ์นมหรือในรูปอาหารเสริม หรือใช้ยาต้านไวรัส Zovirax ซึ่งช่วยให้เริมที่ปากหายเร็วขึ้นและป้องกันไม่ให้เชื้อลุกลาม

คุณหมอช่วยด้วย

          นี่เป็นโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถหาซื้อยามารักษาเองได้ แต่หากเป็นเริมที่ปากบ่อย ๆ และมีอาการรุนแรง แพทย์จะจ่ายยาต้านไวรัส

หูดธรรมดา (warts) และหุดฝ่าเท้า (verrucae)

          หูดทั้งสองชนิดนี้เติบโตที่ผิวหนังเหมือนกัน ต่างกันที่ verrucae พบที่ฝ่าเท้า โดยก้อนหูดนั้นจะโตอยู่ในฝ่าเท้ามากกว่านูนออกมาข้างนอก หูดสองชนิดนี้เกิดจากเชื้อไวรัสและมีแนวโน้มจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก หากรักษาไม่ถูกต้อง

วิธีรับมือ

          แนะนำให้ใช้บาซูก้าเจล (Bazuka Gel) แต่ต้องใช้เวลารักษานานต่อเนื่องสักประมาณ 2-3 สัปดาห์ หูดทั้งสองชนิดนี้จึงจะหายไป

คุณหมอช่วยด้วย

          หากกลับมาเป็นอีก ควรไปพบแพทย์ให้ช่วยเอาหูดออก โดยใช้วิธีรักษาด้วย ความเย็นหรือเอาเลเซอร์จี้ออก "สุดท้ายแล้วระบบภูมิต้านทานโรคของคุณจะเป็นตัวจัดการกับไวรัสด้วยตัวมันเอง" ดร.มาร์กาเร็ต สเติร์น กล่าว

โรคผื่นภูมิแพ้ที่ผิวหนัง

          อาการที่พบทำให้ผิวแห้ง เป็นผื่นแดง คัน มี 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ผื่นแพ้จากกรรมพันธุ์ (atopic eczema) และผื่นแพ้ที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งระคายเคือง (contact eczema) ผื่นแพ้จากกรรมพันธุ์เกิดจากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นภูมิแพ้ หรือเกิดจากความเครียด ไรฝุ่น ผื่นแพ้ที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งระคายเคืองเกิดจากการที่ผิวหนังไปสัมผัสกับสารที่มีฤทธิ์ระคายเคือง เช่น ผงซักฟอก สบู่หรือสารก่อภูมิแพ้ เช่น ยาง นิกเกิล และแชมพู

วิธีรับมือ

          วิธีป้องกันที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงต้นตอของการเกิดโรคคือ ควรเลือกครีมบำรุงผิวคุณภาพดีที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์ หรือใช้ครีมอาบน้ำที่มีมอยซ์เจอไรเซอร์บำรุงผิวแทนสบู่ ควรทามอยซ์เจอไรเซอร์วันละ 3 ครั้งและทุกครั้งที่รู้สึกว่าผิวเริ่มแห้ง ยังมีหลักฐานที่ระบุว่า อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นซึ่งพบในถั่วเปลือกแข็งต่างๆ เมล็ดพืช และน้ำมันปลา ช่วยลดการอักเสบเนื้อจากผื่นภูมิแพ้ที่ผิวได้

คุณหมอช่วยด้วย

          ถ้ามอยซ์เจอไรเซอร์ยังช่วยไม่ได้ แพทย์จะจ่ายยาสเตียรอยด์ในรายที่มีอาการรุนแรง ซึ่งยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทานอาจจำเป็น แต่ต้องใช้เพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น

ท้องผูก

          คนส่วนใหญ่เชื่อว่าท้องผูกเกิดจากลำไส้ไม่เคลื่อนไหว แต่อันที่จริงเกิดจากากรที่คุณไม่ถ่ายอุจจาระเหมือนปกติที่เคย สาเหตุเกิดจากไม่ออกกำลังกาย หรือกินผลไม้และไฟเบอร์ไม่เพียงพอ หรืออาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น อาหารเสริมจำพวกธาตุเหล็ก

วิธีรับมือ

          "หมั่นออกกำลังกาย และรับประทานผลไม้และไฟเบอร์มาก ๆ" มาอีฟ โอดอนเนลล์กล่าว โดยเฉพาะลูกพรุนและรูบาร์บ (rhubarb-ผักที่นิยมนำมาทำขนมพายและแยม ทานเฉพาะส่วนที่เป็นก้านซึ่งมีสีเขียวและแดง) ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย อย่าลืมดื่มน้ำมาก ๆ ด้วย มิฉะนั้นจะยิ่งอึดอัด ถ่ายไม่ออก ถ้ายังไม่ดีขึ้น ให้ทานยาระบายอ่อน ๆ เช่น Senokot ซึ่งมีส่วนผสมของมะขามแขก หากท้องผูกมีสาเหตุมาจากความเครียด ให้ดื่มชาคาโมไมล์ครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 2 ครั้ง

คุณหมอช่วยด้วย

          หากจู่ ๆ ลำไส้ของคุณทำงานผิดปกติไปจากเดิมที่เคยเป็น ควรไปพบแพทย์ เพราะบางครั้งท้องผูกอาจเป็นอาการของโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัย ให้สังเกตดูว่ามีเลือดสีคล้ำ ๆ ติดมากับอุจจาระหรือไม่ แม้อาจจะไม่มีอันตราย แต่บางครั้งนี่ก็อาจชี้ว่าคุณเป็นมะเร็งลำไส้ ดังนั้นควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ

10 สุดยอดวิธีเสริมสร้างภูมิต้านทาน

          เพื่อลดโอกาสในการเกิดโรคต่าง ๆ จึงควรดูแลระบบภูมิต้านทานโรคของคุณเอง ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน และปกป้องตัวคุณจากวงจรความเจ็บป่วย

          ทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้วันละ 5 ส่วน

          ทานวิตามินซีจากผักผลไม้ให้มาก ๆ พบในแบล็กเคอร์แรนท์ บร็อกโคลี กะหล่ำดาว พริกหยวก ส้ม มะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี่ และวอเตอร์เครส

          ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสมุนไพร echinacea ช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว "ทานเวลาที่ต้องผจญกับเชื้อโรค หรือรู้สึกอ่อนเพลีย ทาน 10 วัน หยุดทาน 3 วัน" มาริลีน เกลนวิลล์ แนะนำ

          นอนหลับให้เพียงพอตามที่ต้องการ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า

          ออกกำลังกายมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย

          ทานกระเทียมมาก ๆ เพราะกระเทียมช่วยด้านแบคทีเรีย ใช้ปรุงกับอาหาร หรือทานดิบ ๆ กับสลัดหรือผสมกับน้ำสลัด ถ้าไม่ชอบกลิ่นฉุนของกระเทียม ให้เลือกทานในรูปของอาหารเสริม

          อย่าเครียด หาเวลาว่างให้ตัวเองได้ผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเล่นโยคะไปจนถึงนอนแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ

          ทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ ผลการวิจัยพบว่า คนที่ไม่ทานอาหารเช้าจะมีโอกาสเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่สูง

          หลีกเลี่ยงการทานน้ำตาล เพราะจะไปขัดขวางการทำงานของระบบภูมิต้านทานโรค

          นึกถึงสังกะสี เพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน พบในไข่แดง ปลา เนื้อสัตว์ นมสด จมูกข้าวสาลี และเมล็ดธัญพืช หรือจะทานอาหารเสริมจำพวกสังกะสี






ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
รับมือกับโรคกวนใจ อัปเดตล่าสุด 25 ธันวาคม 2552 เวลา 13:53:57 2,738 อ่าน
TOP
x close