เทรนด์รูปร่างชวนฝัน (ร้าย) (Lisa)
ส่องกระจกทีไรก็ไม่เคยพอใจในรูปร่างตัวเอง ยิ่งสมัยนี้มีเทคโนโลยีและสูตรไดเอตมากมายให้ทดลอง เพื่อปลายทาง คือการเป็นสาวหุ่นดีมีของ แต่งานนี้ขอให้หยุดคิดก่อน สักนิดว่าผลลัพธ์ที่ต้องการนั้นใช่แล้วแน่หรือ
เพราะความงามของรูปร่างผู้หญิงแต่ละยุคนั้นเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ดูอย่างรูปปั้นกรีกนั่นสิ ไม่มีสาวใดที่ไร้พุง เพราะหุ่นอวบออกอ้วนคือความเซ็กซี่ในสมัยนั้น พอมาถึงรุ่นย่ารุ่นแม่ของเรา ความมีน้ำมีนวลเจ้าเนื้อนิด ๆ เอาคอดสะโพกผายแบบนาฬิกาทราย ใครเห็นก็อยากได้ไปเป็นลูกสะใภ้ อ๊ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สาว ๆ สมัยนี้กลายเป็นอยากผอมบาง โดยมีสื่อและดารานางแบบเป็นไอดอลหุ่นในฝัน
อย่างไรก็ตาม ในวงการแสงสีเองบางทีก็มีสองมาตรฐาน แองเจลิน่า โจลี ถูกมองว่าผอมไปขณะที่ เมแกน ฟอกซ์ ต้องลดหุ่น อย่างนี้แล้วเราจะเอาอะไรเป็นไม้บรรทัดวัดความหุ่นดีกันดีล่ะ ใส่ชุดอะไรก็สวยงั้นหรือ ผิดแล้วล่ะ เพราะนั่นก็เป็นหนึ่งในเทรนด์รูปร่างที่ไม่ชอบมาพากล เช่นเดียวกับอีก 5 เทรนด์น่าขยาดดังต่อไปนี้
1. Thigh Gap ขอมีช่องว่างหว่างขา
ปลายปีที่ผ่านมา บรรดาผู้ปกครองและนักจิตวิทยาออกมาเตือนวัยรุ่นและสาว ๆ ลัทธิคลั่งผอมหรือ Thinspiradtion เมื่อมีเทรนด์ Thigh Gap เกิดขึ้น สาว ๆ ต่างโพสต์ภาพยืนเท้าชิดอวดช่องว่างระหว่างต้นขากันให้ว่อนโซเชียลมีเดียว่า นี่คือเทรนด์รูปร่างใหม่ของสาวหุ่นดี โดยคาดว่ามีนางแบบบนรันเวย์ของแบรนด์ชุดชั้นใน Victoria\'s Secret เป็นแรงบันดาลใจ
อันที่จริงกระแสนี้มีมาตั้งแต่ยุค \'70s ซึ่งเรียกกันว่า ขาทรงเกือกม้า พร้อมคำอธิบายว่าเกิดจากยีน ไม่ใช่เพราะอดอาหารจนผอม หรือโหมออกกำลังเอาเป็นเอาตายอย่างที่สาวสมัยนี้เข้าใจกัน ที่สำคัญไม่ใช่ทุกคนจะมีช่องว่างระหว่างต้นขาได้ เพราะอย่างที่บอก มันเป็นเรื่องของยีนและโครงสร้างกระดูกของใครของมัน ดังที่ Constance Kelly เทรนเนอร์และผู้บริหารยิม Body of Work ในเมือง Pelham รัฐนิวยอร์ก บอกถึงปัจจัยที่จะทำให้มีช่องต้นขาว่า "ขึ้นอยู่กับประเภทรูปร่าง ยีน และ DNA" แปลว่าคุณต้องผอมมาก และมีสะโพกที่ผายออกมากจึงจะมีขาแบบนี้ได้
ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่และแพทย์เป็นกังวลกันมากคือ ยิ่งใช้โซเชียลมีเดียมากเท่าไร สาว ๆ ก็ยิ่งไหลไปตามกระแสนี้ได้มากเท่านั้น นำไปสู่การอดอาหาร หรือยืดภาพลักษณ์ความงามที่ผิดเพี้ยนไป และทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้
เครดิต : Instagram welovebikinibridges
2. Bikini Bridge สะพานข้ามเนินน้อย
เทรนด์คลั่งผอมใหม่ที่ตามมาตอนนี้ นั่นคือการโพสต์ภาพตัวเองนอนหงายใส่บิกินี่ เน้นให้เห็นช่องโหว่ระหว่างขอบกางเกงบิกินี่กับกระดูกเชิงกรานทั้งสองข้าง ซึ่งว่ากันว่าเป็นเทรนด์ที่เกิดจากการสร้างกระแสโดยชาวออสเตรเลียกลุ่มหนึ่ง ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียหลอกว่าเป็นภาพของเซเลบในชุดบิกินี่และมีช่องโหว่ ดังกล่าว รวมทั้งสร้างกระแสต่อต้านเทรนด์ที่ว่าด้วย แล้วพวกเขาก็ทำสำเร็จ Tumblrs และ Instagram มีภาพ Bikini Bridge ว่อน เช่นเดียวกับการฮิตแท็กคำนี้ในโลก Twitter ด้วย
หนังสือพิมพ์ The Sydney Morning Tribune พูดติดตลกถึงเทรนด์นี้ว่า บางทีเราก็โดนหลอกด้วยภาพได้ง่าย ๆ การมีช่องโหว่บิกินี่นั้นอาจเพราะใส่บิกินี่ตัวหลวมหรือเอวย้าย ทั้งนี้ทั้งนั้น Louise Adoms นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมการกินและรูปลักษณ์ ให้สัมภาษณ์เสริมว่า "ไซเชียลมีเดียทำให้ผู้หญิงแข่งกันเอง โดยเฉพาะมีผลอย่างมากต่อวัยรุ่นผู้หญิง และแน่นอนคนที่เล่นมีเดียเหล่านั้นเป็นประจำ น่าสังเกตว่าคนยุคนี้โตมากับสื่อประเภทนี้และมีจำนวนผู้ป่วยด้านพฤติกรรมการกินเพิ่มเป็นสองเท่าด้วย"
3. 0 Size ความจริงของสาวไซส์ศูนย์
รูปร่างผอมบางขนาดยัดตัวลงเสื้อผ้าไซส์เล็กสุดได้เป็นอีกความใฝ่ฝันของผู้หญิงยุคนี้ ภายใต้ความจริงอันโหดร้ายว่ามีแต่นางแบบหุ่นโครงกระดูกเท่านั้นที่ทำได้ และเงื่อนไขซ่อนเร้นที่ว่าดีไซเนอร์ตั้งใจออกแบบให้เสื้อผ้าไซส์เล็กที่สุดดังค่าใช้การของ Kirstie Clements อดีตบรรณาธิการนิตยสาร Vogue ฉบับออสเตรเลีย ที่ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์ The Guardian ว่านางแบบที่เธอเคยร่วมงานด้วยคนหนึ่งมีแผลเป็นและรอยช้ำที่หัวเข่าเยอะมาก เพราะเธอเป็นลมบ่อยเนื่องจากไม่กินอะไรเลย แถมเธอยังคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเป็นลมทุกวันและวันละมากกว่าหนึ่งครั้งด้วย
นอกจากนี้ เสื้อผ้าของห้องเสื้อชั้นสูงต่างออกแบบโดยมีรูปร่างของนางแบบโครงกระดูกเหล่านี้เป็นหุ่นให้ เพราะเมื่อเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผู้ที่จะใส่โชว์บนรันเวย์คือนางแบบเหล่านี้ และที่สำคัญดีไซเนอร์ต้องการให้ชุดของคนดูทิ้งตัวลงเมื่อสวมใส่ จึงต้องอาศัยรูปร่างที่ผอมบางจึงจะได้ลุคนั้น และเมื่อชุดบนตัวนางแบบได้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างนิตยสารแฟชั่น นิยามความงามของคำว่าหุ่นดีจึงผิดเพี้ยนเป็นรูปร่างผอมบางเหมือนโครงกระดูกเดินได้นั่นเอง
อดีตบรรณาธิการยังบอกด้วยว่า การอดอาหารของนางแบบเหล่านี้ทำให้พวกเธออารมณ์แปรปรวน อ่อนเปลี้ย บางครั้งก็ทำร้ายตัวเอง ทั้งหมดก็เพื่อให้คงรูปร่างไซส์ 0 ไว้ทำงานอาชีพนี้ต่อไป
4. XL Breast เทรนด์อกฟูยังไม่ไปไหน
หน้าอกใหญ่ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความเซ็กซี่ ในความรู้สึกของมนุษย์เพศผู้ และสำหรับผู้หญิงที่ต้องการดึงดูดความสนใจจากผู้ชายก็มักสร้างจุดขายกันแต่เรื่องหน้าอก แถมนับวันยังพยายามทำให้ใหญ่กันขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยอาศัยมีดหมอและเทคโนโลยีอัพไซส์ต่าง ๆ รวมไปถึงครีมโลชั่นเพิ่มความเต่งตึงที่ขายกันโจ๋งครึ่มทางออนไลน์อีก แต่ระวังให้ดี อะไรที่ไม่ธรรมชาติก็มีผลข้างเคียงเสมอ และอาจถึงแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะหากวิธีการนั้นไม่ได้รับการรับของทางการแพทย์ดูอย่างกรณีดาราหนังโป๊ Elizabeth Starr ที่เธอผ่านการอัพมากกว่า 60 ครั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอต้องเลือกระหว่างการผ่าตัดเอามันออกและจบอาชีพดาวยั่ว หรือจะโลดเล่นในวงการต่อและจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร
การเสริมหน้าอกของเธอเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1999 ด้วยวิธีการที่เรียกว่า "การปลูกถ่ายหน้าอกด้วยโพลีโพรไพลีน" (Polypropylene String Breast lmpiants) ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมายห้ามเสริมขนาดหน้าอกด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว เพราะวิธีนี้ทำให้หน้าอกดูดซับของเหลวไว้ตลอดและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้มันทำให้เกิดก้อนเลือดอุดตันที่อาจทำให้เอลิซาเบธ เสียชีวิตได้หากไม่ผ่าตัดลดขนาดหน้าอกลงดังเดิม
5. Fake Hip ก้นเด้ง สะโพกโต
เทรนด์การฉีดไขมันบริเวณก้นให้เด้งดึ๊งกำลังฮิตมากในแวดวงไอดอลสาวเกาหลีอย่างเกิร์ลแบนด์ตัวแม่ Girls Generation, Girl\'s Day และ F(x) เพราะแน่นอนว่าเวลาก้นแบนใส่อะไรก็ไม่สวย หากใส่กางเกงรัดรูปแล้วมีก้นเด้งขึ้นมาจะยิงดูเซ็กซี่รับกับสะโพกและเอว อีกทั้งไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับศิลปินหญิงวัยรุ่นที่ต่างเน้นท่าเต้นอวดเรียวขาและบั้นท้ายจนอาจเรียกว่าเป็นจุดขายสำคัญของเหล่าศิลปินหญิงล้วนของเกาหลีไปแล้วอย่าง Sistar ที่โด่งดังเป็นพลุแตกขึ้นมานั้นผู้กำกับของทีมบันทึกภาพคอนเสิร์ต 2012 DMZ Peace Concert ถึงกับเขียนไว้ในสคริปต์ของรายการว่าให้กล้องเน้นถ่ายเจาะก้นศิลปินหญิงกลุ่มนี้จนกลายเป็นข่าวมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีเทคนิคอื่นอีกนอกจากการฉีดไขมัน เช่น ผ่าตัดเสริมซิลิโคน ร้อยไหมยกกระชับ ฉีดฟิลเลอร์ และฉีดไขมันผสมสเต็มเซลล์ ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น ที่ไม่แนะนำเลยคือการฉีดฟิลเลอร์ที่เมืองไทยยังมีปัญหาไม่ผ่าน อย. หรือถึงจะผ่านแต่ในทางปฏิบัติก็ไม่เหมาะสม เพราะต้องใช้ยาในปริมาณมากที่มักขายกันในตลาดมืดแล้วแอบฉีดกันเองจนเกิดปัญหาเป็นอันตรายถึงชีวิต
6. Victorian Shape เอวกิ่ว สะโพกผาย
เอวคอด สะโพก (ก็ดู) ผาย หุ่นดั่งนาฬิกาทราย เป็นรูปร่างที่ดูเย้ายวน พบเห็นได้ทั่วไปในสมัยวิกตอเรียน ที่หญิงสาวต่างใส่คอร์เซ็ทรัดกระชับรูปร่างตั้งแต่หน้าอกลงถึงต้นขาจนแทบหายใจไม่ออก แต่พวกเธอก็ยอมเพื่อให้สัดส่วนดูสวยงาม หน้าอกยกเนินดูอวบอิ่ม และเอวคอดกิ่วได้รูป ซึ่งความนิยมนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน และคาดว่ากำลังจะกลับมาฮิตอีกครั้ง เมื่อนักร้องสาวคนดัง "เคที เพร์รี" ใส่คอร์เซ็ทสีแดงกับรองเท้าบูทสีดำและถุงน่องถ่ายโฆษณาน้ำหอมของตนเองในชื่อรุ่นว่า "Killer Queen"
นอกจากนี้ก็มีตัวอย่างข่าวสาวเอวเล็กเท่ามดเพราะใส่คอร์เซ็ทตลอดทั้งวันทั้งคืนออกมาให้ฮือฮากันเป็นระยะ เช่น เมื่อสองปีก่อนกับข่าวสาว Nerina Orton วัย 23 ปี จากเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เจ้าของรอบเอวขนาดเพียง 15.7 นิ้ว ที่เธอเริ่มใส่คอร์เซ็ทครั้งแรกตอนอายุ 14 ปี และใส่นานถึงวันละ 23 ชั่วโมง แม้กระทั่งเวลานอน (ถอดออกตอนอาบน้ำเท่านั้น) และล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว Michele Kobke สาวเยอรมันวัย 24 ปี เคยมีรอบเอว 25 นิ้ว แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 16 นิ้ว หลังจากเธอสวมชุดรัดทรงทุกวันเป็นเวลา 3 ปี ไม่เว้นแม้ตอนนอน และถึงแม้ตอนนี้เธอจะมีเอวที่เล็กกว่านางแบบแต่ก็ยังหวังที่จะทำให้เล็กลงจนถึง 14 นิ้ว
เนริน่ายืนยันว่าการใส่คอร์เซ็ทไม่ได้ส่งผลเสียใด ๆ กับร่างกายเธอ นอกจากอาการวิงเวียนศีรษะในบางครั้ง แต่ทั้งนี้ก็พบว่าซี่โครงของเธอเล็กลงและอวัยวะภายในเคลื่อนที่จากที่เดิมไปบ้าง
WHAT THE PRO SAYS
"หมอคิดว่าด้วยความที่โซเชียลมีเดียมันทำให้เราเข้าถึงเทรนด์ด้านรูปร่างปัจจุบัน บวกกับที่เราก็อยากใส่เสื้อผ้าให้ดูดี เทรนด์แฟชั่นก็มักจะเน้นให้เห็นรูปร่างกันมากขึ้น
เทคโนโลยีเปลี่ยนรูปร่างเราได้ แต่ไม่ถึงกับ 100% บางเรื่องอาจจะทำได้ บางเรื่องก็ทำไม่ได้ เช่น ขนาดตัว XL แต่อยากลดเหลือไซส์ M หรือ S ที่ทำไม่ได้ เพราะคนไข้ต้องเริ่มจากลดน้ำหนักให้ได้ใกล้เคียงก่อน หมอเคยเจอคนอยากจะเพิ่มหน้าอกตัวเองให้ใหญ่มากโดยไม่เข้ากับรูปร่างตัวเองเพราะเขาตัวเล็ก บางเคสหน้าอกคัพซี โดยธรรมชาติแล้วแต่อยากมีคัพดีหรืออี ทั้งที่รูปร่างเดิมก็สมส่วนดีอยู่แล้ว ถ้าเราไม่พอใจรูปร่างตัวเอง เราอาจแก้ไขบางส่วนได้ แต่อย่าถึงกับไปเปลี่ยนเพราะอยากเหมือนดารา และอะไรที่มากเกินไป อย่าลืมว่าเมื่อทำแล้วเราจะเอาของเดิมกลับมาไม่ได้
หมอมองว่าความงามคือความพอดี การปรับแต่งที่เหมาะสมคือการทำให้เราดูดีขึ้น หรือดูอ่อนเยาว์ลงในโครงสร้างเดิม อยากให้เราเริ่มจากเข้าใจในสรีระตัวเอง แต่หากต้องการแก้ไขจุดบกพร่อง ขอให้ลองวิธีธรรมชาติดูก่อน ถ้าได้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจค่อยไปปรึกษาแพทย์ และไปพบหลาย ๆ ที่ และควรเลือกแพทย์เช่นกัน เช่น หมอกระเป๋าที่เราจะตรวจสอบได้ยากว่าเป็นหมอจริงหรือไม่ แต่เรื่องหนึ่งที่ควรระวังคืออะไรที่ราคาถูกเกินจริง ขอให้ระมัดระวัง ยิ่งการฉีดฟิลเลอร์ที่หน้าอกหรือสะโพกนั้นเป็นอันตราย และยังไม่ได้รับอนุญาตจาก อย."
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือLisa Vol.15 No.7 9 เมษายน 2557