กรมวิทย์พบน้ำหมักผสมยาและสารเคมีอันตราย เสี่ยงมะเร็ง

กรมวิทย์พบน้ำหมักผสมยาและสารเคมีอันตราย เสี่ยงมะเร็ง

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนพบน้ำหมักผสมยาและสารเคมีอันตราย ดื่มไปทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

          นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 9 นครราชสีมา ได้รับตัวอย่างส่งตรวจจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 3 ตัวอย่าง จำแนกเป็น ของเหลวใสในขวดแก้วสีชา จำนวน 1 ตัวอย่าง และตัวอย่างเครื่องดื่มน้ำหมักในภาชนะบรรจุปิดสนิท จำนวน 2 ตัวอย่าง ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำหมักพืชแท้เต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ และเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราโสมตังเซียม

          ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบเชื้อโคลิฟอร์ม ( Coliforms ) และ อี. โคไล ( E. coli ) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคอาหารเป็นพิษ ในปริมาณที่เกินมาตรฐานกำหนด รวมทั้งมีส่วนผสมของยาและสารเคมีอันตรายในเครื่องดื่มน้ำหมักทั้ง 2 ตัวอย่าง ได้แก่ สารไดคลอโรมีเทน (Dichloromethane) สารไซ-โปรเฮปตาดีน (Cyproheptadine)

          โดยพบสารไดคลอโรมีเทนในเครื่องดื่มน้ำหมักพืชแท้เต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ 4,695 มิลลิกรัม/ลิตร ในน้ำสมุนไพรหมักเต็มพลัง ตราโสมตังเซียม พบไดคอลโรมีเทน 5,174 มิลลิกรัม/ลิตร ส่วนในของเหลวใสในขวดแก้วสีชา ตรวจพบสารไดคลอโรมีเทน ในปริมาณสูงถึง 692,088 มิลลิกรัม/ลิตร

          ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ยามีปริมาณไดคลอโรมีเทนเจือปนได้ไม่เกิน 600 ส่วนในล้านส่วน หรือคิดเป็น 600 มิลลิกรัม/ลิตร นอกจากนี้สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกา กำหนดให้มีปริมาณไดคลอโรมีเทนปนเปื้อนในน้ำดื่มได้ไม่เกิน 0.005 มิลลิกรัม/ลิตร

         อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 9 นครราชสีมา ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้แก่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยผู้บริโภคไม่ควรซื้อน้ำหมักดังกล่าวมาบริโภค

          อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่ออีกว่า หากผู้บริโภคดื่มเครื่องดื่มสมุนไพรน้ำหมักที่มีสารไดคลอโรมีเทน จะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อาจทำให้เกิดแผลและมีเลือดออกในทางเดินอาหาร ทำให้มีเอ็นไซม์ตับสูงขึ้น และอาจจะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ได้ นอกจากนี้เชื้อโคลิฟอร์ม และอี. โคไล ที่ตรวจพบในน้ำหมักจะทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการท้องร่วงเล็กน้อย จนกระทั่งรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว อาจจะมีเลือดปน และมีไข้ได้

          อย่างไรก็ตาม แม้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรจะได้รับเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) ถ้าผู้ผลิตยังเติมสารอันตรายลงในผลิตภัณฑ์ และมีสุขลักษณะการผลิตที่ไม่ดี ผู้บริโภคจึงมีความเสี่ยงต่อการได้รับสารพิษทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

          ด้าน นางธิดารัตน์ บุญรอด ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 9 นครราชสีมา กล่าวว่า ไดคลอโรมีเทน จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ของกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นสารที่มีสภาพเป็นของเหลวใสไม่มีสี ระเหยได้ง่าย ไม่ติดไฟและไม่ระเบิด ใช้เป็นตัวละลายไขมันและเป็นตัวทำละลายแว็กซ์และเรซิน จึงมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสี พลาสติก และฟิล์มถ่ายภาพ หากกลืนกินจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เกิดแผลและมีเลือดออกในทางเดินอาหาร หากหายใจเอาสารดังกล่าวเข้าไปจะก่อให้เกิดการระคายเคือง ไอ หายใจลำบาก เจ็บแน่นทรวงอก กล้ามเนื้อหัวใจตาย และหัวใจหยุดเต้นได้

          นอกจากนี้ มีรายงานว่า สารไดคลอโรมีเทน เป็นสารที่ก่อให้เกิดเนื้องอกในระบบทางเดินหายใจ ตับ และเต้านมในสัตว์ทดลอง รวมถึงอาจเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ด้วย สำหรับการปฐมพยาบาล ถ้ากลืนกินสารเข้าไปอย่ากระตุ้นให้อาเจียน ควรนำส่งแพทย์ทันที ถ้าหายใจเข้าไปให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกสู่บริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ หากผู้ป่วยหยุดหายใจให้ช่วยผายปอด และนำส่งแพทย์ ถ้าสัมผัสถูกผิวหนังให้ล้างออกด้วยสบู่ ถ้าถูกลูกตาให้ล้างทันทีด้วยน้ำอย่างน้อย 15 นาที

          สำหรับไซโปรเฮปตาดีน เป็นยาในกลุ่มแอนติฮีสตามีน จัดเป็นยาแผนปัจจุบันประเภทยาอันตราย ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ใช้รักษาอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน น้ำมูกไหล ลมพิษ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ป้องกันอาการปวดศีรษะจากไมเกรน และยานี้มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม ปากแห้ง หรือมองภาพไม่ชัดเจน ช่วยกระตุ้นให้ทานอาหารได้ การรับประทานยาไซโปรเฮปตาดีนจึงควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
กรมวิทย์พบน้ำหมักผสมยาและสารเคมีอันตราย เสี่ยงมะเร็ง โพสต์เมื่อ 30 มกราคม 2557 เวลา 15:38:42 1,542 อ่าน
TOP
x close