วิธีลดน้ำหนักแบบไม่ต้องอดอาหาร ถึงจะทานมากกว่าวันละ 1,000 กิโลแคลอรีก็มีหุ่นดีได้
การจำกัดปริมาณแคลอรีที่ทานเข้าไปใน 1 วัน อาจไม่ใช่คำตอบของการลดน้ำหนักก็ได้นะคะ บางคนยิ่งบังคับตัวเองให้ทานไม่เกินวันละ 1,000 กิโลแคลอรี แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือยิ่งอ้วนกว่าเดิม เพราะร่างกายยิ่งโหยหาอาหาร คุณเอม สมาชิกหมายเลข 2699922 เว็บไซต์พันทิปดอทคอม เจ้าของ IG aim.healthygirl และเฟซบุ๊ก Female Fit ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการทานอาหารน้อยเกินไปเพื่อลดน้ำหนัก เลยหยิบเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณสาว ๆ ลดน้ำหนักลงได้แบบไม่ต้องอดมาบอกต่อ ถึงแม้จะทานอาหารวันละ 2,000 กิโลแคลอรี แต่ก็มีหุ่นดีได้ถ้าทำตามนี้
จากลดน้ำหนักวันละ 1,000 แคลอรี สู่ 2,000 แคลอรี พร้อมหุ่นที่ดีขึ้นและสุขภาพที่ดีกว่า โดย คุณสมาชิกหมายเลข 2699922
เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนัก หรือเคยลดน้ำหนัก น่าจะเคยผ่านช่วงที่ "กินน้อย" และนับแคลอรีพร้อมทั้งพยายามอย่างยิ่งยวดที่ใน 1 วันจะกินไม่ให้มากเกิน 1,000 แคลอรี
1,000 แคล !!! ย้ำ !!! 1,000 !!!!
ใครที่ไม่เข้าใจให้ลองนึกถึงอาหารยอดนิยม "ข้าวผัดกะเพราหมูสับไข่ดาว" แค่นี้ก็ปาเข้าไป 700-800 แคลอรีแล้ว ไม่น่าเชื่อใช่ไหม !! ว่าใครกันจะกินแค่วันละ 1,000 แคลอรีแล้ว "อิ่ม" อันที่จริงแค่อิ่มมันไม่พอหรอก แต่การกินน้อยที่นอกจากจะไม่อิ่ม (จนเป็นที่มาของความโหยหิว ตบะแตก และตามมาด้วยอาการ yoyo effect) ยังส่งผลให้ร่างกายเราทรุดโทรมหนักกว่าเดิม เนื่องจากการกินที่น้อยมากเกินไป จะทำให้ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน (safe mode)
แน่นอน ร่างกายเราไม่มีทางยอมตายง่าย ๆ มันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเรามีชีวิตอยู่รอด ดังนั้นเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ มันก็จะไม่ยอมเผาผลาญอะไรก็ตามที่มีอยู่ และยิ่งเรากินเพิ่มเข้ามา มันก็จะพยายามเก็บรักษาไว้ ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้ ถ้าตอนนี้เรากินวันละ 1,000 แคลอรี ร่างกายก็จะเคยชินและพยายามจะเก็บ 1,000 แคลที่แสนจะน้อยนิดนั้นไว้ และวันใดก็ตามที่เราดันอยากกลับมากินมากขึ้น ด้วยการเพิ่มเป็น 1,300 1,400 บลา ๆๆๆ ไปจนถึง 2,000 3,000 นั่นคือนรกเลย เพราะร่างกายยังคงอยู่ในโหมดที่คิดว่าขาดแคลนอาหาร คราวนี้แหละ...กินเยอะ ร่างกายเผาผลาญน้อย
ไม่อ้วนตอนนี้ จะไปอ้วนตอนไหน !!!!
เพราะงั้นช่วงนี้เวลาเอมเห็นใครที่ภูมิใจเหลือเกินกับการที่ตัวเองลดน้ำหนักแล้วกินน้อย "วันนี้เพิ่งกินไป 800 แคลเอง" "วันนี้กินไม่เกินพันแคลแน่นอน" หรืออื่น ๆ ที่มันจัดว่าเป็นการลดน้ำหนักที่ทำลายสุขภาพของเขาหรือเธอ เอมก็จะค่อนข้างรู้สึกไม่เห็นด้วย ด้วยความเป็นห่วง เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่อย่างว่าบางเรื่องเราก็บอกตรง ๆ ไม่ได้ ดังนั้นวันนี้เอมก็เลยจะมาแชร์ประสบการณ์เพิ่มเติมของเอม สำหรับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนักและมีหุ่นที่ดีมากยิ่งขึ้น
ถ้าใครหลายคนเคยตามเอมมาจากการลดน้ำหนักครั้งก่อน ๆ ก็น่าจะพอรู้ว่าแต่แรกเอมไม่ใช่คนที่อ้วนมากอยู่แล้ว (แต่ตอนเด็ก ๆ ก็อ้วนมากนะคะ) แต่เชื่อว่ามีหลายคนที่เหมือนเอม สูง 162-163 หนัก 55-56 แล้วรู้สึกว่าหุ่นเรามันไม่ดี ไม่เฟิร์ม เอมขอเป็นตัวแทนของคนกลุ่มนี้ก็แล้วกันนะคะ
เพราะที่จริงแล้วเอมค้นพบว่าการลดน้ำหนักจากมาก ๆ เช่น 70-100+ จะค่อนข้างลดได้ง่ายหากเรามีจิตใจที่เข้มแข็ง ออกกำลังกาย คุมอาหารอย่างถูกต้อง แต่เมื่อเราลดน้ำหนักลงมาได้สัก 55-60 คุณจะพบว่าขั้นตอนต่อไปนั้นมันแสนสาหัส การจะลดน้ำหนักลงต่อจากนี้มันเป็นอะไรที่ยากกว่าเดิมมาก !!!
และตอนนี้เอมก็ค่อนข้างจะพอใจกับหุ่นตัวเองในระดับหนึ่ง
นี่คือรูปผลลัพธ์ของเอมค่ะ
ก็จะเห็นว่าเอมเน้นรูปร่างที่เฟิร์มมากขึ้น โดยน้ำหนักรูปแรกคือ 55.2 ส่วนรูปสุดท้ายคือ 51.5 แต่ตอนนี้ก็ลดลงอีกแล้วค่ะ เหลือ 50.4 แว้ว และก็ค่อนข้างคงที่ด้วย ประมาณ 49.5-50.5 อันนี้ก็ขึ้นกับปริมาณน้ำด้วยค่ะ แต่ไม่เหวี่ยงไปเกินนี้แล้วค่า
รูปขวานี่ปัจจุบันสุดค่ะ ถ่ายตอนเช้าหน้าท้องแบน ๆ แต่ก็มีร่อง Six Pack จางเหลือเกิน เศร้าใจจัง TT^TT
คราวนี้มาลองดูชื่อกระทู้ของเอมเนอะ แน่นอนว่าเอมเคยกินวันละ 1,000 แคล ช่วงแรกน้ำหนักมันก็ลดลงตามคาดเหมือน ๆ กับทุกคน แต่ต่อมามันดันไม่ลง และพอกินแค่ 1,200 แคล น้ำหนักดันขึ้น !!! ทั้ง ๆ ที่คำนวณค่า bmr และ tdee ได้มากกว่านั้น
**สงสัยเรื่องนี้ ให้ลองไปอ่านกระทู้เก่าของเอมก่อนนะคะ จะได้รู้ว่าที่จริง 1 วันเราควรกินเท่าไร
http://pantip.com/topic/34844872
ต่อมาเอมก็ได้ลองหลายวิธีในการลดน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็น กินแต่ "ผลไม้" ไม่กินเนื้อสัตว์ หรืออีกเยอะแยะ เอาล่ะคราวนี้มาเข้าเรื่องกัน ว่าจากวันละ 1,000 แคล เอมจะสามารถเพิ่มมากินเป็นวันละ 2,000 แคลอรีได้ยังไง
อย่างแรกเลย คือเอมออกกำลังกาย ที่อาจไม่หนักมากเมื่อเทียบกับคนอื่น (พวกนักกีฬา) คือเอมคาร์ดิโอตอนเช้าประมาณ 30-40 นาที วิ่งบ้าง ปั่นจักรยานบ้าง และว่ายน้ำบ้าง ผลัดกันไป แต่มีความสุขสุดก็คือว่ายน้ำ ของถนัด ยิ่งช่วงเช้าสระว่าง ๆ ก็สวรรค์ชัด ๆ เลย และตอนเย็น เอมก็เล่นเวทวันละ 1 ชั่วโมง แบ่งตารางเป็น
วันที่ 1 : bicep + tricep
วันที่ 2 : หลัง + หน้าท้อง
วันที่ 3 : อก + ไหล่
วันที่ 4 : ขา + หน้าท้อง
วันที่ 5 : พัก
เล่นวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่มีการกำหนดวันจันทร์หรืออังคาร พูดง่าย ๆ คือถ้าวันที่ 1 คือวันจันทร์ วันศุกร์เอมก็พัก แล้ววันเสาร์ก็กลับมาเล่นของวันที่ 1 ต่อ โดยเล่นส่วนละ 3-4 ท่า ท่าละ 4 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง เลือกน้ำหนักตามที่เราสามารถจะเล่นได้ไหว แต่ไม่ใช่เบาจนชิลเกินไป
และส่วนที่สำคัญอีกอย่างเลยก็คือการเลือกรับประทานอาหาร เอมจะเลือกกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน อย่างปลา กุ้ง หรืออกไก่ ไม่กินหมูกับเนื้อเพราะย่อยยากจะทำให้ทางเดินอาหารทำงานไม่ดี และไม่นิยมข้าวขาว กินคาร์บจาก complex carb ดีกว่า อย่างข้าวกล้องหรือข้าวไรซ์เบอร์รี และช่วงนี้ก็เริ่มหันมาสนใจซูเปอร์ฟู้ด อย่างควินัว คุณประโยชน์เต็มที่มาก
ยังไงก็ตามส่วนมากเอมจะทานคาร์บที่อยู่ในพืชผักมากกว่า อย่างมัน ฟักทอง เผือก และผลไม้ เพราะพวกนี้มันจะเป็น real food มาจากธรรมชาติแท้ ๆ ย่อมดีต่อร่างกายมากกว่า ค่าการเปลี่ยนเป็นน้ำตาลก็ต่ำ (GI ต่ำ) เพราะใน 1 วันถ้าเรากินน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายก็จะเก็บมันในรูปแบบของ "ไขมัน" ดังนั้นต่อให้เราบอกว่าเราไม่ได้กินไขมันเข้าไปเลย แต่แป้งหรือน้ำตาลที่เรากินเข้าไป หากร่างกายเผาผลาญไม่ทันก็กลายร่างเป็นไขมันอยู่ดี
ยกตัวอย่าง 1 วันของเอมนะคะ
09.00 น. ตื่นมาพร้อมกินกล้วย 1-2 ลูก (100-200 แคล) เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย หลังจากนั้นสักครู่ก็ปั่นจักรยาน ไม่ก็ว่ายน้ำ 30-40 นาที
10.30 น. ปั่นจักรยาน (ของจริง ส่วนที่ปั่นออกกำลังกายเป็นแมชชีนซื้อมาปั่นที่หอค่ะ) ออกไปซื้อของกินที่ tops ซึ่งที่นิยมก็คือ ไข่ ปลา และอกไก่เป็นโปรตีนหลัก และซื้อผักแบบมหาศาลมากินด้วย
11.00 น. ทำกับข้าวกิน เมนูช่วงเช้ามักจะเป็นไข่ เอมจะกินไข่เยอะมาก แต่ไม่เน้นไข่แดง เช่นว่า กินเต็มใบ 2 ฟอง และกินไข่ขาวอย่างเดียวอีก 3-4 ฟอง แค่นี้ก็จะได้โปรตีนในมื้อนี้ไป 20-25 กรัม พร้อมทั้งกินคาร์บจากผลไม้หรือมัน รวมแคลมื้อแรกก็สัก 300-350 แคล
14.00 น. กินข้าวอีกรอบ เน้นโปรตีนเหมือนเดิม รอบนี้จะปลา อกไก่ หรืออะไรได้หมด กินกับสลัดเยอะ ๆ พูน ๆ จาน หรือทำยำผักกินเลยค่ะ อันนี้หนักหน่อย เพราะกลางวันเอมจะหิวมาก 350-400 แคล
17.00 น. กินข้าวอีกแล้ว !! 555 เน้นกินบ่อยค่ะ มื้อนี้จะเป็นมื้อก่อนเล่นเวท ก็จะกินคล้ายมื้อบ่ายสอง แต่จะเพิ่มคาร์บจากฟักทอง มันต้ม หรือถั่วต่าง ๆ ไปอีกค่ะ น่าจะ 350-400 แคลเหมือนกัน ลดเนื้อสัตว์ลงเล็กน้อย
18.30 น. เล่นเวทตามวันด้านบน
20.00 น. กินข้าวตามใจ มื้อนี้หนักสุด คือไม่เคยต่ำกว่า 700 แคล คือชอบกินผลไม้มากค่ะ จะเน้นมื้อนี้เลย เพราะหลังออกกำลังร่างกายจะรับน้ำตาลได้เยอะ อย่าลืมว่าในผลไม้ก็น้ำตาลไม่ใช่ย่อย ๆ นะคะ ต่อให้ค่า GI ต่ำแค่ไหนก็ตามที แค่ผลไม้ก็ปาเข้าไป 300 แคลได้ (เช่น แอปเปิล 2 ลูก สาลี่อีกลูก อร่อยมาก !!) และก็ต้องเน้นโปรตีนหนัก ๆ ด้วย พร้อมกับผักด้วย มื้อนี้จะต้องหนักทุกอย่างค่ะ จะได้อิ่มไปตลอด ของโปรดสุด ๆ ก็คือปลานึ่งหรือย่างทั้งตัวไม่มีเหลือ กระพง นิล ทับทิม เรียบค่ะ ! หรือไม่ก็ซาซิมิไปเลย อันนี้อาจจะนาน ๆ ทีหน่อย กลัวกินแกลบปลายเดือน 55555
22.00 น. และถ้าหิวอีกก็เน้นเอาเวย์มาทำแพนเค้กกิน ช่วงมื้อดึกเอมไม่แนะนำคาร์บนะคะ ร่างกายจะไม่ใช้ มันอาจสะสมได้เนอะ คือถ้ามีมื้อนี้ก็น่าจะเป็น 100 แคล
รวม 1 วันเป็น 1,800-2,150 แคลอรี ก็วน ๆ อยู่ประมาณนี้
ตอนแรกก็นับแคลกินแค่ 1,300-1,500 ไป ๆ มา ๆ ลองปล่อยกิน 1,800 ทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์แล้วน้ำหนักดันไม่ขึ้น !! รูปร่างก็ไม่บวม !!!
โอ้ ! จอร์จ จากนั้นมาก็จัดหนักทุกวันเลยค่ะ
แต่แน่นอนว่าสาว ๆ หลายคนอาจทานได้ไม่มากเท่าเอม อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับปริมาณการออกกำลังกายด้วยนะคะ แต่ถ้าใครอยากสอบถามเอม ก็ลองมาคุยกันได้ พร้อมให้คำแนะนำและพร้อมรับคำแนะนำค่ะ
IG aim.healthygirl (สะดวกสุด)
FB : Female Fit
นี่แหละเนอะผลของการออกกำลังกาย มาแข็งแรงด้วยเวทและคาร์ดิโอไปด้วยกันนะคะ
ป.ล. เผื่อใครถามว่าไม่ทำงานทำการหรือไง มีเวลาทำข้าวกินทั้งวัน คำตอบคือเอมเพิ่งเรียนจบวิศวะค่ะ ช่วงรอสัมภาษณ์ กฟผ. ตอนนี้สอนพิเศษแบบอัดวิดีโออยู่ที่หอ ก็เลยค่อนข้างว่าง
ป.ล.2 บางทีก็คิดว่าถ้าเอมกินน้อยกว่านี้ ร่างกายน่าจะลีน ซิกแพคก็น่าจะชัดขึ้นกว่านี้ แต่พอคิดว่าค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีความสุขแบบนี้มันก็ดีแล้วค่ะ คือตอนนี้กินก็มีความสุข ออกกำลังกายก็มีความสุข คือชีวิตดีมากค่ะตอนนี้ เพราะงั้นก็เลยเอาเป็นแบบนี้ไปก่อน ถ้าตอนไหนอยากลีนก็ค่อยลดปริมาณแคลอรีแล้วกันเนอะ อิอิ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณสมาชิกหมายเลข 2699922 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
Instagram aim.healthygirl
เฟซบุ๊ก Female Fit