ใครติดสมาร์ตโฟนต้องระวัง ยิ่งก้มหน้าเล่นสมาร์ตโฟนมาก ๆ ยิ่งเร่งให้กระดูกสันหลังเสื่อมเร็วขึ้น
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเล่นสมาร์ตโฟนมากเกินไปทำให้สายตามีปัญหา แถมยังทำให้ปวดไหล่ปวดคออีกด้วย อย่าเพิ่งคิดว่ามันมีข้อเสียเพียงแค่นั้น เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปรับทราบถึงข้อเสียของการก้มหน้าก้มตาเล่นสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานที่อันตรายไม่แพ้กับที่เราเคยได้ยินกัน ซึ่งเว็บไซต์ lifehacker.com นำมาบอกไว้ ขอบอกเลยค่ะว่าเกี่ยวข้องกระดูกสันหลังโดยตรง ไม่อยากเจอปัญหาสุขภาพรีบอ่านอย่างไวเลยค่ะ
ขณะที่หากเราก้มหน้า 45 องศาอ่านจอมือถือ ก็เท่ากับคอเราต้องแบกรับน้ำหนักถึง 20 กิโลกรัม แต่ถ้าเราไม่ก้มหน้าเลย คอของเราจะแบกรับน้ำหนักประมาณ 4.5-5.5 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งการที่คอเรารับน้ำหนักมากขนาดนี้จะส่งผลให้เกิดอาการปวด หรือเป็นโรคอินเทรนด์ที่เรียกว่า "Text Neck"
Text Neck คำนี้ คุณหมอ Dean Fishman ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาด้วยการจัดกระดูกสันหลัง เป็นคนบัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนอาการไหล่ห่อคอตก อันเกิดจากเราก้มลงมองหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่รู้ตัว กระทั่งปวดไหล่ ปวดคอ ถึงจะรู้สึกว่าต้องยืดตัวขึ้นแล้วล่ะ
นายแพทย์ Hansraj
ยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า
ทุกวันนี้คนเราใช้เวลาอยู่ในท่าทางก้มหน้าเพื่อเล่นโทรศัพท์สมาร์ตโฟนกันไม่ต่ำกว่า
2-4 ชั่วโมง
และท่าทางนี้ทำให้คอและกระดูกสันหลังของเราจะต้องใช้แรงจำนวนมากในการโยกหรือก้มศีรษะไปด้านหน้า
ซึ่งทำให้ความตึงเครียดที่บริเวณกระดูกสันหลังเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังทำให้ปวดหัว ปวดคอ ปวดแขน มือชา
และถ้าหากอยู่ในท่าทางนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานและบ่อยครั้งมากเกินไปจะส่งผลให้บุคลิกภาพเสียแถมยังทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อน
หรือเกิดความเสียหายจนถึงกับต้องผ่าตัดเลยทีเดียวล่ะค่ะ
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่จะตามมาในอนาคต
ควรจะหลีกเลี่ยงการเล่นโทรศัพท์สมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน
แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ละก็ ควรจะเปลี่ยนท่าทางในการเล่นสมาร์ตโฟน
โดยการยกขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา หรือเอียงจอโทรศัพท์ขึ้นประมาณ 30 องศา
ในขณะที่พิมพ์หรือสัมผัสกับจอ ท่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยทำให้ไม่ต้องก้มคอมาก
ๆ แล้ว ยังช่วยไม่ให้ข้อมือเกิดอาการปวดอีกด้วย
และถ้าหากต้องนั่งดูหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ก็อย่าลืมนั่งให้หลังตรงด้วยนะคะ
เพื่อที่บุคลิกภาพจะได้ไม่เสีย
และทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะที่ถูกต้องอีกด้วยค่ะ
ถึงแม้ว่าเจ้าโทรศัพท์สมาร์ตโฟนจะส่งผลเสียทั้งต่อทางสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิต
แต่เราก็คงปฏิเสธที่จะเลิกใช้มันไม่ได้
เพราะมันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว ดังนั้น
เราควรจะใช้เท่าที่จำเป็นจะดีที่สุดค่ะ