คีโตเจนิกไดเอต (Ketogenic Diet) คือสูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ เพื่อเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย แต่สูตรไดเอตนี้จะเวิร์กสำหรับเราจริงหรือไม่ มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง ต้องลองอ่านกันจ้า
การไดเอตก็เหมือนรสนิยมส่วนตัวอย่างหนึ่งของสาว
ๆ ที่แต่ละคนมักจะมีทิปส์เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป
แต่มีเป้าหมายเหมือนกันตรงที่ไขมันส่วนเกินต้องหายไป น้ำหนักตัวต้องลดลง ซึ่งหนึ่งในสูตรลดน้ำหนักที่หลายคนสนใจก็คือ คีโตเจนิกไดเอต
หรือสูตรลดน้ำหนักแบบโลว์คาร์บ แต่สูตรนี้ต้องทำอย่างไรบ้าง ลองอ่านทำความเข้าใจกันก่อน
คีโตเจนิกไดเอต (Ketogenic Diet) คืออะไร
คีโตเจนิกไดเอต คือ
การลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต
หรืออาหารประเภทแป้งและน้ำตาลให้น้อยที่สุด เน้นกินอาหารประเภทไขมันดีให้ได้ร้อยละ 75-80 ควบคู่ไปกับอาหารหมู่โปรตีน
เพื่อปรับการทำงานของระบบเผาผลาญพลังงาน
ถือเป็นการปรับให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะเลียนแบบการอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงานแทนน้ำตาล
สูตรไดเอตนี้ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980
เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู
แต่ในปัจจุบันนี้สูตรลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิกไดเอตนี้ก็ได้กลายเป็นที่นิยมของนักเล่นกล้ามด้วย
สูตรไดเอตแบบคีโตเจนิก ให้ผลกับร่างกายอย่างไร
สูตรการไดเอตแบบคีโตเจนิก จะทำให้ร่างกายดึงเอาไขมันที่สะสมไว้ไปเผาผลาญเป็นพลังงานแทนการเผาผลาญแป้งและน้ำตาล
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน
และเมื่อร่างกายเกิดการดึงไขมันส่วนเกินไปใช้เผาผลาญแทนน้ำตาล
ตับก็จะไม่หลั่งอินซูลินออกมาควบคุมระดับน้ำตาล
ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพคีโตน (Ketone) หรือสภาวะเผาผลาญไขมันแทนน้ำตาล ช่วยให้น้ำหนักตัวและไขมันส่วนเกินในร่างกายก็จะลดลงด้วย
เราจึงรู้สึกว่าผอมลง
ลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต เวิร์กจริงไหมนะ
สำหรับใครที่อยากลองลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ ไม่ควรทำติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำติดต่อกันประมาณ 14 วัน
แล้วทำสลับกับการกินอาหารแบบโลว์คาร์บวิธีอื่น เพราะถ้าหากใช้สูตรไดเอตนี้เพียงอย่างเดียวติดต่อกันนานเกิน 6 เดือน
จะทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อที่ดี
เพราะร่างกายจะดึงเอาโปรตีนจากเนื้อเยื่อของตัวเราเองมาใช้
และมีปริมาณกรดยูริกในกระแสเลือดสูงที่สามารถพัฒนาเป็นโรคเกาต์ นิ่วในไตได้
อีกทั้งยังขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
ซึ่งอาจมีผลต่อสุขภาพในยามที่เราเจ็บป่วย
ร่างกายเราจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม
ก่อนที่สาว ๆ จะลองนำสูตรคีโตเจนิค ไดเอต ไปใช้ลดน้ำหนักนั้น
ควรจะรู้ถึงกระบวนการปรับตัวของร่างกายที่มีต่อสูตรลดน้ำหนักนี้เอาไว้บ้าง
นั่นคือ เมื่อเราอดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตได้ระยะหนึ่งแล้ว
ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงปรับตัว ผลคือ ร่างกายจะไม่มีแรง รู้สึกอ่อนเพลียง่าย
และเนื่องจากร่างกายเผาผลาญกรดไขมันเป็นพลังงาน ทำให้มีสารเคมีที่เรียกว่า
คีโตน (Ketone) ในร่างกายมาก
จึงเกิดการถ่ายทอดออกมาผ่านรูขุมขนและลมหายใจได้
เราอาจรู้สึกตัวเองว่าลมหายใจเหม็น
ทั้งนี้ การลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิก อาจทำให้น้ำหนักลดลงได้ในช่วงแรก แต่หลังหยุดกินคีโตแล้ว อาจเกิดโยโย่เอฟเฟกต์กลับมาได้เช่นกัน
สูตรคีโตเจนิกไดเอต ต้องกินอะไรบ้าง
อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่าคีโตเจนิกไดเอต คือ
การงดกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล และเน้นกินอาหารหมู่โปรตีนและไขมัน
ซึ่งอาหารหมู่ไขมันนี่แหละที่อาจทำให้สุขภาพของเราแย่ลงได้
เพราะไขมันบางชนิดก็เป็นตัวการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ดังนั้น
ก่อนตัดสินใจเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้อย่างจริงจัง
เราก็ควรเข้าใจกับหลักการ 3 ข้อง่าย ๆ ของสูตรคีโตเจนิกไดเอตกันก่อนดีกว่า
- ลดปริมาณอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต โดยการคุมปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตให้เหลือวันละ 25-50 กรัมต่อวัน
- เน้นกินโปรตีน โปรตีนจะถูกเปลี่ยนเป็นกลูโคสเพื่อให้ร่างกายนำไปเผาผลาญเป็นพลังงาน
- เน้นกินไขมันชนิดดี
สารอาหารประเภทไขมันจะทำให้ร่างกายเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น
โดยการกินไขมันให้ได้เฉลี่ยวันละร้อยละ 70-80
จากอาหารที่มีกรดไขมันสายปานกลาง (MCT oil)
อาหารที่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักสูตรคีโตเจนิกไดเอต
หากหลักการลดน้ำหนักของสูตรคีโตเจนิกไดเอต ทำให้ใครยังนึกไม่ออกว่า
การลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ควรเน้นกินอาหารแบบไหน เราก็มีตัวอย่างอาหารมาแนะนำ
ดังนี้
- อาหารหมู่ไขมัน
อาหารประเภทไขมันที่ดีต่อการลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ได้แก่
อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้าทรี และกรดไขมันโอเมก้า 6
และกรดไขมันอิ่มตัวที่มีสายปานกลาง เช่น เนย ไข่แดง ไวลด์แซลมอน ปลาทูน่า
ปลาเทราต์ หอย รวมถึงธัญพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวด้วย ได้แก่
ถั่วแมคคาเดเมีย อะโวคาโด น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง
น้ำมันเมล็ดลินิน และน้ำมันดอกคำฝอย
ซึ่งน้ำมันทุกชนิดควรเลือกกินแบบสกัดเย็น เป็นต้น
แต่ควรหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ เช่น มาการีน
- อาหารหมู่โปรตีน
อาหารหมู่โปรตีนที่แนะนำคือ
ไข่ไก่ ชีส ครีม วิปปิ้งครีม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และ
ปลาที่กินได้ทั้งตัว เช่น ปลาดุก ปลาค็อด ปลาตาเดียว ปลาแมกเคอเรล
ปลามาฮิ-มาฮิ ปลาแซลมอน ปลากระพงแดง ปลาเทราต์ ปลาทูน่า เนื้อวัว เนื้อแกะ
เนื้อแพะ เนื้อลูกวัว เนื้อหมูสันนอก เนื้อหมูติดซี่โครง หรือ พอร์คชอป
นอกจากนี้ยังรวมถึงอาหารประเภทถั่ว เช่น แมคคาเดเมีย วอลนัท อัลมอนด์
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พิตาชิโอส เป็นต้น หลีกเลี่ยงถั่วลิสง
เพราะจัดอยู่ในถั่วที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง
- น้ำเปล่า
การไดเอตแบบคีโตเจนิกก็ยังคงต้องรักษาระดับความชุ่มชื้นในร่างกายด้วย
โดยการดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และยังสามารถดื่มเมนูอื่น ๆ ได้
เช่น ชาสมุนไพร กาแฟสูตรหวานน้อย เป็นต้น
7 ตัวการแฝงคาร์โบไฮเดรตที่ต้องระวัง
แม้ว่าอาหารประเภทคาร์โบโฮเดรตส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของขนมปัง
ข้าว แป้ง และน้ำตาล
แต่ก็ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่จัดอยู่ในอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรตเช่นกัน จึงควรระวัง 7
สิ่งต่อไปนี้ด้วยเพราะมีส่วนประกอบหลักเป็นแป้งและน้ำตาลนั่นเอง
- สารให้ความหวาน
สารให้ความหวานเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
เพราะอาหารกลุ่มน้ำตาลจะยิ่งทำให้เกิดอาการอยากอาหารมากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มน้ำตาลสังเคราะห์ เช่น สตีเวีย ซูคราโรส อีรีทรีทอล
(Erythritol) ไซลิทอล หล่อฮั้งก๊วย (Monk Fruit) และ สารอะเกฟ
เนคทาร์(Agave Nectar) เป็นต้น
ซึ่งสารให้ความหวานเหล่านี้อาจอยู่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มชื่นใจประเภทต่าง ๆ
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลไม้อบแห้ง ขนมหวาน ผลิตภัณฑ์เบเกอรี
และเมนูเครื่องดื่มอัดลม
- เครื่องปรุงรส และเครื่องเทศ
เครื่องปรุงรสและเครื่องเทศส่วนใหญ่มีส่วนประกอบน้ำตาลในรูปของเดกซ์โทส
รวมถึงส่วนประกอบของแป้งด้วย ซึ่งจัดอยู่ในประเภทของคาร์โบไฮเดรต
ดังนั้นหากจะเพิ่มลงในเมนูก็ควรระวังเรื่องปริมาณด้วย ได้แก่ เกลือสมุทร
พริกไทยดำ ใบกะเพรา พริกป่น พริกชี้ฟ้า ผักชี ชินนามอน ขมิ้น ออริกาโน
เพรสลี่ โรสแมรี เสจ ไธม์ ยี่หร่า ผงหัวหอม ผงกระเทียม ออลไสปซ์
(Allspice) ใบเบย์ (Bay Leaves) ขิง ลูกกระวาน น้ำจิ้มไก่ ซอสมะเขือเทศ
และซอสพริก เป็นต้น
- ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
ผลไม้ตระกูลเบอร์รีส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติสูง เช่น
พวกพืชตระกูลเบอร์รี ราสป์เบอร์รี บลูเบอร์รี และแครนเบอร์รี
ดังนั้นสำหรับคนที่คุมอาหารด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต
ควรลดปริมาณการกินผลไม้ทุกชนิด
- ผลิตภัณฑ์นม
ประเภทของนมที่ควรหลีกเลี่ยงคือ
นมสด (whole milk), นมขาดมันเนย (skim milk), นมไขมันต่ำ, นมโคแท้ 100%,
นมพาสเจอร์ไรส์ น้ำเต้าหู้ เนื่องจากนมทั้งหลายนี้มีคาร์โบไฮเดรตสูง
- ปริมาณคาเฟอีนในชาและกาแฟ
สำหรับคนที่ติดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โค้ก
แต่อยากลดน้ำหนักด้วยวิธีคีโตเจนิกไดเอต
เราขอแนะนำให้เลือกดื่มที่เป็นสูตร Caffeine free หรือ Non Caffeine
เนื่องจากสารคาเฟอีนกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
- ผักสดที่มีรสชาติหวาน
ควรหลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยผักที่มีรสหวานบางชนิด เช่น ข้าวโพดอ่อน มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง หรืออื่น ๆ ที่มีน้ำตาล
- ยาปฏิชีวนะ
ยาปฏิชีวนะบางชนิดมีไซรัปทั้งชนิดผงและน้ำเป็นส่วนประกอบในตัวยาด้วย เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อโรค เป็นต้น
5 ประโยชน์ เมื่อลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต
เมื่อเราลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอตแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสุขภาพของเราอย่างไรบ้างนะ มาดูกันเลย
- ไม่หิวบ่อย
การลดอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรต เน้นกินอาหารหมู่โปรตีน จะช่วยให้เราอิ่มท้องนานขึ้น ทำให้เราไม่มีอาการอยากกินจุบจิบ
- ลดน้ำหนักง่ายขึ้น
การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตช่วยให้ร่างกายของเราไม่มีภาวะบวมน้ำ
เพราะระดับอินซูลินในร่างกายลดต่ำลง
ไตสามารถขับโซเดียมออกจากร่างกายได้อย่างเป็นปกติ
เราจึงรู้สึกว่ารูปร่างผอมเพรียวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
- มีระดับไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) น้อยลง
เมื่อร่างกายดึงไขมันส่วนเกินไปเผาผลาญเป็นพลังงาน
ทำให้ไขมันในช่องท้องที่สะสมอยู่ในร่างกายเราถูกดึงไปใช้ด้วยเช่นกัน
และจะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลของเราเป็นปกติด้วย
- มีระดับความดันโลหิตเป็นปกติ
การลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทำให้ร่างกายเรามีการเผาผลาญน้ำตาลน้อยลงด้วย
จึงส่งผลให้ร่างกายมีระดับความดันโลหิตเป็นปกติ
- มีกระบวนการคิดและจดจำดีขึ้น
การลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตช่วยลดการสะสมของแป้งและน้ำตาลในร่างกาย
ทำให้ร่างกายมีระบบการไหลเวียนโลหิตเป็นปกติ
จึงสามารถลดความเสี่ยงเป็นโรคที่เกิดจากการไหลเวียนโลหิตไม่ดี เช่น
โรคลมบ้าหมู โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน
นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบประสาทและสมองให้ดีขึ้นด้วย
คีโตเจนิกไดเอต กับการรักษาโรค
สูตรลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิกไดเอต มีมานานกว่า 80 ปีแล้ว
อดีตเคยเป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู
ต่อมานักวิจัยได้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกต่อระบบประสาทและสมองด้วย
จากรายงานการวิจัยของ European Journal of Clinical Nutrition เผยว่า
ประโยชน์ของสูตรลดน้ำหนักแบบคีโตไดเอตนั้น
สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวกับการไหลเวียนโลหิตผิดปกติต่าง ๆ
ดังนี้
- โรคลมบ้าหมู
- ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ คอเลสเตอรอล เพิ่มระดับไขมันดี (LDL) และลดการสะสมของพลัคในหลอดเลือด
สูตรลดน้ำหนักคีโตเจนิกไดเอต ก็มีผลข้างเคียงต่อร่างกายนะ
แน่นอนทีเดียวว่า เมื่อเราอดสารคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกายได้ในระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ย่อมส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงานต่าง ๆ ในร่างกาย และจากข้อมูลในเว็บไซต์ Ketogenic-diet-resource.com ก็ยังระบุเอาไว้ด้วยว่า หากเราลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต ร่างกายของเราย่อมได้รับผลข้างเคียงด้วยแน่นอน ดังนี้
- ปัสสาวะบ่อย
ผลข้างเคียงนี้จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากวันแรกที่เริ่มทำ
ร่างกายจะปวดปัสสาวะบ่อย
เกิดจากการที่ร่างกายเกิดการเผาผลาญไกลโคเจนหรือกลูโคสที่ถูกสะสมไว้บริเวณตับและกล้ามเนื้อบ่อยขึ้น
จากนั้นไตก็จะทำการขับออกมาให้อยู่ในรูปของปัสสาวะ
เราจึงมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
- อ่อนเพลีย มึนงง
เมื่อไรที่ร่างกายได้รับสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า
60 กรัมต่อวัน จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย และมึนงง
ทำให้เราต้องชดเชยด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ
และการดื่มน้ำมากนี่เองที่ทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุสำคัญเช่น เกลือ
โพแทสเซียม และแมกนีเซียมไปด้วย
- ปวดหัว
เมื่อร่างกายเข้าสู่สภาวะคีโตซีสแล้ว
เราอาจมีอาการปวดหัวเล็กน้อย
หรือมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้
เป็นเพราะร่างกายขาดแร่ธาตุบางชนิด
- ความดันโลหิตต่ำ
แม้มีข้อมูลว่า การกินคีโตจะช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติ แต่ถ้าอดอาหารหมู่คาร์โบไฮเดรตติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป
ร่างกายจะมีระดับความดันโลหิตต่ำ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายมาก
เพราะอาจทำให้เราเป็นลม วูบ หรือหมดสติได้ง่าย
- ระบบขับถ่ายแปรปรวน
สูตรลดน้ำหนักคีโตเจนิกไดเอต
ทำให้ระบบขับถ่ายของร่างกายเราแปรปรวน
อาจเกิดอาการท้องผูกจากการที่ได้รับไฟเบอร์ไม่เพียงพอในแต่ละวัน
ในขณะเดียวกันก็สามารถเกิดอาการท้องเสียได้จากความผิดปกติของการดูดซึมสารอาหารในลำไส้
- อาการอยากน้ำตาล
อาการอยากน้ำตาลจะเริ่มต้นขึ้นในช่วง
2-10 วัน หลังจากที่เราเริ่มลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้
ซึ่งถ้าหากเรากินอะไรหวาน ๆ เพื่อชดเชยอาการที่เกิดขึ้น
อาการอยากน้ำตาลก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
- กล้ามเนื้อเป็นตะคริวง่าย
แม้ว่าสูตรลดน้ำหนักคีโตเจนิกไดเอต จะเน้นกินโปรตีนก็ตาม
แต่ร่างกายก็สามารถมีอาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริวได้
โดยอาการนี้เกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นบางชนิด เช่น
แมกนีเซียม จึงส่งผลให้กล้ามมีอาการเนื้อหด เกร็งตัวได้ง่ายกว่าปกติ
- นอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืน
อาการนอนไม่ค่อยหลับในตอนกลางคืนเป็นผลมาจากการที่ร่างกายมีอินซูลิน
และสารเซโรโทนินในระดับต่ำ ทำให้เราหลับยาก
ต้องใช้เวลานานกว่าจะรู้สึกง่วงนอน
- เสี่ยงเกิดภาวะนิ่วในไต
การลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิกไดเอต มีผลให้การสะสมตัวของก้อนแคลเซียมในปัสสาวะอยู่ในระดับสูง
ทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อขับออกมาในรูปของของเสีย
จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนิ่วในไต
- เกิดภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ T3
โดยปกติแล้วร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์ T3
ออกมาเพื่อช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงานที่ต้องอาศัยสารคาร์โบไฮเดรต
กับโปรตีน
เมื่อร่างกายขาดสารคาร์โบไฮเดรตเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะส่งผลให้ฮอร์โมนไทรอยด์
T3 ถูกกระตุ้นสร้างน้อยลง ทำให้ร่างกายแสดงอาการผิดปกติออกมา
ตั้งแต่ในระดับเล็กน้อยไปจนถึงขั้นเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไทรอยด์
เช่น ชีพจรเต้นช้า ขี้หนาว ความจำสั้น ผิวพรรณแห้งซีด โรคคอพอก
และโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
ใครไม่ควรลดน้ำหนักด้วยสูตรคีโตเจนิก
เนื่องจากสูตรลดน้ำหนักนี้ค่อนข้างสุดโต่ง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาให้ดี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ ฯลฯ เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกายได้ ซึ่งเคยมีข่าวให้เห็นหลายเคสแล้วว่าการทานคีโตเพื่อลดน้ำหนักทำให้ร่างกายทรุดลง จนต้องเข้าโรงพยาบาล
ขอย้ำว่าการลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิกเป็นเพียงอีกหนึ่งตัวเลือกในการไดเอตเท่านั้นนะคะ และไม่ได้เหมาะกับคนทุกเพศ ทุกวัย นอกจากนี้ในบางคนอาจกลับมาอ้วนได้อีกหากควบคุมอาหารแบบคีโตเจนิกอย่างเดียว แต่ไม่ได้ออกกำลังกายเลย อีกทั้งการกินคีโตเป็นระยะเวลานานยังมีผลข้างเคียงต่อร่างกายพอสมควร ดังนั้น เราควรเลือกวิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัย และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองจะดีกว่า
ทั้งนี้เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา
* หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 14 มิถุนายน 2562
ขอบคุณข้อมูลจาก