เราจะเห็นว่าบนท้องถนนเดี๋ยวนี้ไม่ได้มีแค่รถที่ใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว แต่เริ่มมีนักปั่นจักรยานทั้งแบบฉายเดี่ยวและแบบเป็นกลุ่มออกมาแบ่งสัดส่วนการใช้พื้นที่ถนนมากขึ้น ดังนั้น สสส. จึงอยากแนะนำวิธีปั่นจักรยานเพื่อความปลอดภัยมาบอกต่อนักปั่นมือใหม่ รวมทั้งนักปั่นรุ่นเก๋าด้วยนะคะ ถ้าชอบปั่นจักรยานออกกำลังกายเป็นประจำ นี่คือข้อมูลสำคัญที่ควรรู้
ปัจจุบัน “จักรยาน” ถือว่าเป็นพาหนะสำคัญบนท้องถนนที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ผู้คนลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและตระหนักเรื่องของภาวะโลกร้อน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทั่งหันมาใช้บริการขนส่งมวลชน เดิน และใช้จักรยานในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น
“ผศ. ดร.จิรพล สินธุนาวา” อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ผู้ใช้จักรยานพร้อมเล่าว่า ทุกวันนี้มีผู้สนใจนำจักรยานมาขี่บนท้องถนนเพิ่มมากขึ้นทุกช่วงอายุ ซึ่งจะสังเกตได้จากท่ามกลางนักปั่นกลุ่มใหญ่ ๆ นั้น มองลึก ๆ แล้วจะมีผู้สูงอายุและเด็กที่เพิ่งเริ่มขี่อยู่ไม่น้อยทีเดียว
“ผู้ใช้จักรยานกลุ่มแรกคือ ขี่จักรยานเพื่อการออกกำลังกาย เพราะได้พบว่ามีความตื่นเต้น น่าสนใจกว่าการออกกำลงกายด้วยวิธีอื่น ได้เห็นทิวทัศน์ ได้ไปในที่ต่าง ๆ ที่อยากไป มันเพิ่มอิสรภาพมากกว่าการออกกำลังกายรูปแบบอื่น แต่ส่วนมากก็เป็นนักปั่นที่อยู่ในหมู่บ้าน หรือชุมชนเล็ก ๆ ไม่ได้ออกมาถนนใหญ่ หรือขี่ทางไกล หรืออาจจะมีนัดขี่เป็นกลุ่มประมาณ 30-50 กิโลเมตรสั้น ๆ อันนี้คือการขี่เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ”
ผศ. ดร.จิรพล เล่าต่อว่า อีกกลุ่มหนึ่งคือ การ "ขี่เพื่อสันทนาการ" กลุ่มนี้เน้นขี่เพื่อท่องเที่ยว ไปรู้จักสถานที่ต่าง ๆ เข้าสังคม จึงมักรวมตัวกันเป็นกลุ่ม อาจมีชมรม มีสมาชิกรวมตัวกันไป ขี่แล้วก็เป็นกลุ่มเดียวกัน พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แลกเปลี่ยนความคิด พากันไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไป ซึ่งโดยมากเส้นทางก็ไม่ค่อยซ้ำ กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการรวมตัว และบางครั้งอาจจะขี่ในเวลากลางคืนด้วย เช่น เราจะพบหลายที่ในสวนสาธารณะ หรือบริเวณที่รถไม่หนาแน่นก็มีเยอะอยู่เช่นกัน
"จริง ๆ เราก็หวังว่ากลุ่มนี้จะเติบโตขึ้น เห็นได้ว่า กลุ่มคนที่ขี่เพื่อการท่องเที่ยว การออกกำลังกาย และเพื่อสันทนาการ หันมาขี่เพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวันจริง ๆ เพิ่มมากขึ้น เมื่อกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นได้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่ชัดเจน เพราะจะเป็นกลุ่มที่เพิ่มการพบเห็นของผู้ขับรถยนต์เป็นประจำ เขาจะเห็นว่าเส้นทางนี้มีนักปั่นอยู่เป็นประจำในเวลานี้กี่คน และเขาจะคอยหลบ คอยระวังที่จะลดความเร็วลงมา รวมถึงการเว้นระยะห่างจากริมฟุตปาธ เพื่อเว้นพื้นที่ว่างให้จักรยาน ซึ่งตนคิดว่าหากมีการขี่เป็นประจำ คนกลุ่มนี้จะสามารถช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ดีขึ้นได้" ผศ. ดร.จิรพลกล่าว
ภาพจาก สสส.
ปัจจัยเกี่ยวกับอุบัติเหตุของผู้ใช้จักรยาน
ข้อนี้ ผศ. ดร.จิรพล อธิบายว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่เตรียมพร้อม ขาดทักษะและขาดความระมัดระวังของผู้ขี่จักรยานเองด้วย ฉะนั้นถ้าจะลดความสูญเสียจากปัญหาดังกล่าวได้จริง ๆ จะต้องให้ผู้ใช้จักรยานได้เรียนรู้การใช้จักรยานร่วมเส้นทางกับพาหนะอื่น ๆ อย่างปลอดภัย ดังนี้
1. การให้สัญญาณมือ หมายถึงการสื่อสารกับคนข้างหลัง ในระยะ 50 หลา ก่อนเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา
- เลี้ยวขวา คือ การยื่นแขนขวาออกไปด้านข้างให้สุด ขนานกับพื้น และแผ่ฝ่ามือออก
- เลี้ยวซ้าย คือ การยื่นแขนซ้ายออกไปด้านข้างให้สุด ขนานกับพื้น และแผ่ฝ่ามือออก
- หยุดหรือจอด ยกแขนขึ้นขนานกับพื้น พับแขนลงในลักษณะตั้งฉาก ขนานกับลำตัว แบมือหันฝ่ามือไปด้านหลัง
2. การมองข้ามไหล่ ก่อนเปลี่ยนเลน ต้องมีความสามารถมองข้ามไหล่ให้เป็น โดยที่ล้อตั้งตรง และมองเห็นรถคันหลัง
3. การขี่จักรยานที่ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยอย่างเพียงพอ เช่น กระดิ่ง, ไฟหน้าแสงขาว, ไฟท้ายแสงแดง
4. การสวมใส่หมวกกันน็อกที่มีมาตรฐาน และใส่สายรัดคางให้กระชับเสมอ
5. การสวมเสื้อผ้าสีสว่างสดใส เห็นแต่ไกล หลีกเลี่ยงการใช้เสื้อผ้าสีเข้ม สีดำ เพราะผู้ขี่รถยนต์มองเห็นยาก
6. การเลือกซื้อจักรยาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัย เช่น เบรกมีประสิทธิภาพหรือไม่ ดูยาง ล้อ การรับน้ำหนัก ตัวถังที่เบาและดี มีความแข็งแรง รองรับน้ำหนักการขี่ แรงบดแรงกดที่ได้นานหลายชั่วโมง สำหรับการเดินทางไกล เป็นต้น
ผศ. ดร.จิรพล ฝากว่า ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ครบ ก่อนการขี่จักรยานทุกครั้งก็ต้องมีการตรวจสอบด้วยเช่นกัน โดยการตรวจเช็กลมยาง เช็กเบรก ดูโซ่ และการหมุนของล้อต้องไม่ขูดกับส่วนหนึ่งส่วนใดของตัวถัง ตะเกียบ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายต่อจักรยานได้ และที่สำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ใส่หมวกกันน็อก ซึ่งเป็นตัวที่จะช่วยปกป้องส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกายเอาไว้ ฉะนั้นอย่าออกจากบ้านโดยไม่มีหมวกกันน็อกเด็ดขาด
ภาพจาก สสส.
วิธีตรวจความพร้อมก่อนใช้จักรยาน
A - AIR ลมยาง เช็กดูลมยาง กดแล้วต้องแข็ง กดไม่ลง ถ้ากดแล้วลงไปได้เรื่อย ๆ แสดงว่าลมอ่อนเกินไป ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง
B - Break เบรก โดยการเช็กเบรกหลัง ให้กดเบรก จากนั้นล้อต้องลากและไม่หมุน เบรกหน้า เมื่อมือเรากดเต็มที่ล้อหลังต้องยกขึ้น
C - Chain โซ่ เช็กว่าหมุนได้คล่องตัวไหม หย่อนหรือตึงเกินไปหรือเปล่า ส่วนนี้ต้องดูให้ดี โซ่ต้องไม่ทิ้งหย่อนลงมาจนไปโดนตัวถังหรือตะเกียบหลัง เช็กดุมล้อว่ามีเสียงดังหรือไม่ ถ้ามีเสียงลูกปืนแตก หรือเสียงดังต้องระวัง
S - Spin ทดสอบด้วยการยกล้อหน้าขึ้นมาแล้วหมุน ดูว่าขูดตัวถังไหม หรือขูดที่ตะเกียบด้านซ้ายด้านขวาหรือไม่ ล้อต้องหมุนอย่างอิสระ ไม่ใช่หมุนแล้วหยุดด้วยตัวเอง เพราะเช่นนั้นจะแสดงว่า มีแรงต้านทานเนื่องจากผ้าเบรกหรือส่วนอื่นที่ทำให้ล้อไม่อยู่ศูนย์ ล้อหลังก็เช่นเดียวกัน เช็กว่าระหว่างการหมุนล้อต้องไม่แกว่งไปมา
"อยากจะเชิญชวนทุกคนที่อยากขี่จักรยาน รู้จักการขี่จักรยานที่ถูกต้องและปลอดภัย โดยอาจจะเริ่มจากเข้ากลุ่ม เริ่มเรียนรู้ ก่อนที่จะออกมาถนนใหญ่ และหาโอกาสสอบใบขับขี่จักรยาน จะช่วยเพิ่มทักษะการขับขี่ การใช้เส้นทางร่วมกับผู้อื่นอย่างปลอดภัย เพราะเราจะเรียนรู้วิธีการป้องกันตนเอง เรียนรู้การสื่อสาร และการส่งสัญญาณนั่นเอง"
นอกจากจักรยานจะเป็นตัวช่วยในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมแล้ว ประเด็นหลักคือ การขี่จักรยานยังเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเสริมชุมชนให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้นด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
โดยภาวิณี เทพคำราม