แพทย์เผยเคสตัวอย่าง อันตรายจากการบีบจมูกและเม้มปากเวลาจาม ทำให้ลมรั่วผ่านกะโหลกเข้าสมองได้ เตือนห้ามทำเด็ดขาด
เชื่อว่าเวลาจาม หลายคนมีพฤติกรรมชอบใช้มือปิดปากหรือจมูก เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง บางคนอาจถึงขั้นใช้นิ้วบีบปิดจมูก แต่หารู้ไม่ว่ามันอาจเป็นอันตรายอย่างที่ไม่คาดคิด โดยเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ได้ออกมาโพสต์เตือนผู้คนโดยยกตัวอย่างเคสของผู้ป่วยหญิงอายุ 82 ปี ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นรายแรกของโลก ที่เกิดมีปัญหาลมเข้าสมอง จากการบีบจมูกและเม้มปากขณะจาม
โดยคุณหมอมนูญเผยว่า ผู้ป่วยหญิงชรารายดังกล่าวได้เดินทางมาพบเมื่อเดือนมกราคม 2559 โดยมีอาการของโรคเบาหวานและไขมันสูง มีอาการพูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก 3 วัน ทว่าภายหลังจากทำ MRI สมอง กลับพบว่า มีลมในเนื้อสมองข้างซ้ายขนาด 7x4x3.2 เซนติเมตร จึงได้ทำการรักษาและติดตามดูอาการไป และพบว่าอาการค่อย ๆ ดีขึ้น จนปัจจุบันกลับมาปกติดี
ทั้งนี้ ทางคุณหมอก็ได้ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของอาการลมเข้าสมองในลักษณะเช่นนี้ กระทั่งไปพบข้อมูลในวารสาร BMJ Case Reports เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2561 ซึ่งกำลังเป็นข่าวดังไปทั่วโลกขณะนี้ โดยรายงานได้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของการเอามือบีบจมูกและเม้มปากเวลาจาม
จากนั้น คุณหมอมนูญจึงกลับไปซักประวัติผู้ป่วยรายดังกล่าวใหม่ว่า ได้มีการปฏิบัติเช่นนั้นหรือไม่ ซึ่งทางผู้ป่วยได้เล่าว่า ก่อนไม่สบาย กำลังจะสั่งน้ำมูก เกิดจามขณะเอามือบีบจมูก เอานิ้วอุดรูหูข้างขวาและเม้มปากพร้อม ๆ กัน หลังจากนั้นทำให้หูข้างซ้ายอื้อและมีเสียงดัง ด้วยเหตุเช่นนั้น ทำให้ลมจากการจามออกทางจมูกและปากไม่ได้ จึงคาดว่าคงจะผ่านจากท่อในปากเข้าหูชั้นกลางด้านซ้าย แล้วทะลุผ่านกะโหลกใต้สมองเข้าสมองด้านซ้ายดังที่ปรากฏในภาพ
ทั้งนี้ คุณหมอมนูญได้เผยว่า ผู้ป่วยรายนี้น่าจะเป็นผู้ป่วยรายแรกของโลก ที่ลมรั่วเข้าสมองอันเกิดจากการบังคับไม่ให้จามออกทางปากและจมูก นอกจากปอดรั่ว แก้วหูทะลุ ผนังช่องคอทะลุ และเส้นเลือดในสมองแตก ยังมีลมรั่วผ่านกระโหลกเข้าสมองได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น จึงขอเตือนว่า อย่าทำร้ายตัวเอง ด้วยการเอามือมาบีบจมูกและเม้มปากเวลาจามเด็ดขาด
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก เฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC