เชื่อไหมว่า การลุกขึ้นมาออกกำลังกายสามารถเปลี่ยนชีวิตใครคนหนึ่งไปตลอดกาล ลองมาฟังเรื่องของชายคนนี้กัน “ท้อฟฟี่ แบรดชอว์” หรือ “ชญาน์ทัต วงศ์มณี” นักเขียนหนุ่มมากฝีมือ เจ้าของผลงานหนังสือหลายเล่ม และบทความรสชาติจัดจ้านบนโลกออนไลน์ แต่ใครจะรู้ว่าครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มหุ่นดีคนนี้เคยถูกล้อเลียนว่าอ้วน เพราะความเจ้าเนื้อน้ำหนักเฉียดร้อยกิโล ! !
“สมัยเด็ก เมนูโปรดของผมคือหมูปิ้งมัน ๆ พิซซ่าถาดใหญ่เต็ม ๆ สลัดที่ราดเยิ้ม ๆ ไขมันเต็มเหนี่ยว พอตอนอยู่ ม. 5 น้ำหนักตัวก็ปาไป 98 กิโล เลยโดนเพื่อนล้อ เราก็จะไม่ชอบ แต่พอโดนล้อ ตอนนั้นก็ยิ่งหนี ไม่อยากฟัง คอยหลอกตัวเองว่า ไม่จริงหรอก
จนวันหนึ่งที่ผมเดินขึ้นบันไดบ้านตัวเอง บ้านแค่ 2 ชั้นแต่หัวใจกลับเต้นแรงเหมือนจะออกมานอกอก ตอนนั้นถึงได้ฉุกคิดว่า เราจะปล่อยชีวิตให้เป็นแบบนี้ต่อไปจริง ๆ เหรอ ถึงเวลาต้องลุกมาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว”
ตอนนั้นแม้แต่คนที่บ้านก็ถึงกับอึ้งไปกันหมด เมื่อเห็นเด็กอ้วนคนนี้ ตื่นแต่เช้าเพื่อไปวิ่ง เลิกเรียนกลับมาอาบน้ำ ใส่รองเท้าออกไปวิ่งอีก แถมยังลด ละ เลิก อาหารการกินแบบที่เคย เปลี่ยนมาเป็นเมนูสุขภาพ ผัก ผลไม้
แต่แน่นอน เส้นทางก่อนถึงเส้นชัยของคนที่ต้องแบกน้ำหนักเกือบร้อยกิโลกรัมย่อมไม่ราบเรียบ
“ความทุกข์ของคนอ้วนมาก ๆ คือ เวลาเคลื่อนไหวขาหนีบจะสีกัน รักแร้ก็สีกัน มันเจ็บไปหมด แล้วพอมันเจ็บเราก็จะไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกาย
แล้ววันหนึ่งเราก็เริ่มพบว่า วันนี้เราวิ่งได้ไกลขึ้น วันนี้เราเหนื่อยน้อยกว่าเมื่อวาน มันเห็นพัฒนาการตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ แค่ลุกขึ้นจากที่นอน ก็รู้สึกว่า นี่ไง เราชนะมาครึ่งหนึ่งแล้ว”
คุณท้อฟฟี่เล่าว่า จากช่วงแรกน้ำหนักไม่ลงสักขีด ก็เริ่มลงสองขีดสามขีด จากที่วิ่งได้นิดเดียวก็เริ่มวิ่งได้ไกลขึ้น และกิจกรรมประจำวันในชีวิตก็เปลี่ยนไปหมด จากเลิกเรียนแทนที่จะไปหาของอร่อยกิน ก็กลายเป็นการออกกำลังกาย โดยไม่รู้ตัวว่า ช่วงปิดเทอม 3 เดือนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
“เปิดเทอมมา ผมต้องซื้อชุดนักเรียนใหม่หมด น้ำหนักลงจาก 98 เหลือ 70 กิโล เดินเข้าโรงเรียน เอ๊ะ งง ทำไมเพื่อนไม่ทักเรา เพราะเขาจำผมไม่ได้ ชีวิตเปลี่ยนเลยครับ ไม่ใช่แค่ร่างกาย มันเปลี่ยนข้างในจิตใจเราด้วย สิ่งที่คนอื่นคิดว่าเราทำไม่ได้ วันนี้เราทำได้แล้ว ทำให้ตัวเองมีความมั่นใจมากขึ้น”
แต่สำหรับชายคนนี้การออกกำลังกาย ไม่เพียงแต่ทำให้บุคลิกรูปร่างภายนอกดูดีขึ้น แต่มันคืออีกหนึ่งปัจจัยที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้อีกด้วย ! !
คุณท้อฟฟี่เล่าย้อนกลับไปในวัย 26 ปี วันหนึ่งตื่นนอนขึ้นมาพร้อมอาการเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก จากที่คิดว่าเป็นอาการชั่วคราว กลับกลายต้องไปถึงมือหมอ และหมอได้แจ้งข่าวน่าตกใจว่า “หัวใจห้องหนึ่งของคุณกำลังจะหยุดเต้น ต้องทำบอลลูนเดี๋ยวนี้”
“ตอนนั้นคุณหมอบอกว่า ผมมี 4 ทาง ทางแรกคือปลอดภัย ทางที่ 2 คืออัมพาต 3 คืออัมพฤกษ์ และทางที่ 4 คือเสียชีวิต เรียกว่าเปอร์เซ็นต์รอดกลับมาปกติ...น้อยมาก”
คุณท้อฟฟี่บอกว่า สุดท้ายนอกจากเขาจะปลอดภัย แต่ยังฟื้นตัวเร็วมาก จนคุณหมอยังทึ่ง ถึงขนาดบอกว่า เหมือนคุณท้อฟฟี่เตรียมตัวผ่าตัดมาตลอดชีวิต เพราะว่าเส้นเลือดหัวใจสะอาดมาก ไม่มีไขมันมาเกาะ หัวใจแข็งแรงมาก ซึ่งทำให้ฟื้นตัวเร็ว ราวกับตัวเองสั่งสมการออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพมาตลอด เพื่อวันนี้
“ทุกวันที่เราออกกำลังกาย คือการบอกรักตัวเอง ต่อให้ข้างนอกเราไปเจออะไรมาหนักหนาสาหัสแค่ไหน เจองานเครียดมา เจอเจ้านายด่า งานยากแค่ไหน แต่ถ้าวันนี้เราวิ่งได้ ยกเวตได้ ขี่จักรยานได้ ตามที่เราวางแผนไว้ เราจะกลับบ้านไปโดยที่ไม่มีความรู้สึกแพ้” คุณท้อฟฟี่บอกทิ้งท้าย ก่อนที่จะกลับไปทำงานด้วยความกระฉับกระเฉง
การลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงมีเป้าหมายที่ชัด บวกกับความมุ่งมั่น ไม่ว่าใครก็เริ่มต้นมีชีวิตดีด้วยตัวเองได้ และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างชีวิตดี ๆ ให้กับตัวเอง สสส. ขอแนะนำให้ลองเข้ามาที่เว็บไซต์ www.thaihealth.or.th ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณอย่างแน่นอน
