ไม่สูบก็ป่วยได้ 3 ดารา แชร์ประสบการณ์ควันมือสองจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ไหนใครว่าไม่อันตราย !

           แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะ แต่ก็ยังไม่วายพบคนแอบสูบบุหรี่ตามร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานบันเทิงอยู่บ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ได้มีแค่บุหรี่ทั่วไป ทว่าในกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานก็เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันมากขึ้น เพราะคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ โดยหารู้ไม่ว่า โทษของบุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่เบาเลย แถมควันบุหรี่มือสองก็ยังทำร้ายคนข้าง ๆ จนมีอาการป่วยไปหลายรายทั้งที่ไม่ได้สูบเอง

           อย่างนักร้องนักแสดงหลายคนที่ต้องทำงานในสถานที่เหล่านี้ และอยู่ท่ามกลางคนสูบบุหรี่ ด้วยหน้าที่ของพวกเขาอาจไม่สะดวกใจที่จะบอกกล่าวหรือห้ามปราม จึงต้องทนกับควันมือสอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือปัญหาสุขภาพที่คาดไม่ถึง ลองมาฟังเรื่องราวของ 3 ดารา-นักร้องชื่อดัง ได้แก่ โบกี้ ไลออน, แมว จิรศักดิ์ และเป๊กกี้ ศรีธัญญา ที่เคยออกมาแชร์ประสบการณ์ป่วยของตัวเองเพราะควันบุหรี่มือสองกันค่ะ

            เริ่มกันที่คนแรก โบกี้ไลอ้อน นักร้องสาวผู้มีทั้งเสียงร้องและบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าเธอป่วยด้วยอาการปอดอักเสบทั้งที่ไม่สูบบุหรี่ แต่เป็นเพราะดมควันบุหรี่มาอย่างต่อเนื่องในขณะที่เล่นคอนเสิร์ตร้องเพลงตามร้านอาหารต่าง ๆ จนมีอาการไอเรื้อรังและแพ้อย่างรุนแรงทุกครั้งที่สัมผัสควัน โบกี้จึงได้โพสต์เรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อบอกเล่าอาการป่วยที่ส่งผลต่อการร้องเพลงของเธอ

           จากเรื่องราวของดาราทั้ง 3 คน คงเห็นแล้วว่าบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ามีความอันตรายไม่ต่างกัน เพราะเพียงแค่ดมกลิ่นก็ยังก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจอย่างคาดไม่ถึง ถึงแม้จะเป็นควันจากบุหรี่ไฟฟ้าที่หลายคนบอกว่ามีกลิ่นหอม คงไม่น่าจะเป็นอะไร แต่จริง ๆ มีงานวิจัยพบว่า คนที่สูดควันบุหรี่ไฟฟ้ามือสองจากคนใกล้ชิด จะเพิ่มความเสี่ยงเป็นหลอดลมอักเสบอีก 40% และเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการหายใจลำบากถึง 53%

           แค่สูดดมควันบุหรี่ไฟฟ้ามือสองยังทำร้ายสุขภาพได้ขนาดนี้ แล้วถ้ายิ่งเป็นคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเองย่อมต้องรับสารพิษโดยตรงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะไม่มีการเผาไหม้เหมือนบุหรี่ แต่น้ำยาในบุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีที่อันตรายต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตะกั่ว สังกะสี นิกเกิล ฟอร์มัลดีไฮด์ แมงกานีส ฝุ่น PM0.1 กลีเซอรีน โพเพอรีน และตัวร้ายที่สุดอย่าง "นิโคติน"

          หลายคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วรู้สึกฟิน นั่นเพราะ "นิโคติน" ซึ่งจัดเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง กระตุ้นให้สมองหลั่งสารความสุขโดปามีนออกมาชั่วครู่ เมื่อไม่ได้สูบ สารนี้จะลดลง ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย จนต้องสูบต่อไปอีกเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้นิโคตินกลับเข้าไปกระตุ้นสมอง และกลายเป็นวงจรการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าในที่สุด

          หากรับสารนิโคตินเข้าร่างกายมาก ๆ จะกระตุ้นการอักเสบของสมอง มีผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง มีอาการสมองเบลอ หลง ๆ ลืม ๆ ได้ง่าย และถ้ายิ่งสูบตั้งแต่วัยรุ่นที่สมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะสมองส่วนหน้าที่มีหน้าที่วางแผน และเกี่ยวข้องกับการควบคุมความคิด การเข้าสังคม ก็จะยิ่งส่งผลต่อการตัดสินใจ ไหวพริบ การประมวลข้อมูล ตรรกะความคิดต่าง ๆ และพฤติกรรมการแสดงออก

          นอกจากนี้ นิโคตินยังทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกายลดลง นำไปสู่การเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว หลอดเลือดหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดสมองตีบตันจนกลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้เลย

          ไม่ใช่แค่นิโคตินเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกไปว่าในบุหรี่ไฟฟ้ามีสารเคมีมากมาย ยิ่งสูบก็ยิ่งรับพิษหลายเท่าตัว เช่น โลหะหนักอย่างตะกั่ว นิกเกิล ที่มีพิษต่อปอด และเป็นสารก่อมะเร็ง, สารแต่งกลิ่น มีฤทธิ์ทำลายเยื่อบุหลอดลม โพเพอรีนและไกลคอนก็ส่งผลให้ปอดอักเสบได้ ส่วนควันไอจากบุหรี่ไฟฟ้าก็มีอนุภาคเล็กมาก ขนาด PM0.1 ซึ่งสามารถแทรกซึมไปตามอวัยวะต่าง ๆ และสะสมพิษได้ทั่วร่างกาย และยังพบสารหนู สารกลุ่มฟาร์มาดีไฮด์ (Formaldehyde) และเบนซิน (Benzene) เป็นสารก่อมะเร็งในไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้าด้วย

          ได้รู้กันไปแล้วว่าโทษของบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายต่อสุขภาพขนาดไหน แม้จะไม่ได้สูบเอง แค่ดมควันบุหรี่มือสองต่อเนื่องนาน ๆ ก็ทำให้ป่วยได้เช่นกัน เพราะทั้งบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้าต่างก็มีนิโคตินนะคะ ดังนั้นใครที่เคยคิดว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วจะไม่ติด หรือสูบเพื่อให้เลิกบุหรี่ได้ก็อยากให้ทบทวนกันอีกที ถ้ารักตัวเองและไม่อยากเห็นคนรักที่อยู่รอบข้างล้มป่วย มาเลิกบุหรี่กันดีกว่าค่ะ ยิ่งเลิกสูบเร็วเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งฟื้นฟูเร็วเท่านั้น