น้ำมันปลาคืออะไร
น้ำมันปลา หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Fish oil คือ น้ำมันที่ได้จากส่วนหนัง เนื้อ หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันสำคัญหลายชนิด ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ประกอบไปด้วยกรดไขมัน EPA และกรดไขมัน DHA ที่เราคุ้นเคยกันดี
แต่ทั้งนี้หลายคนอาจมีความสับสนระหว่างน้ำมันปลา กับน้ำมันตับปลา ซึ่งเป็นน้ำมันคนละอย่างกันนะคะ โดยน้ำมันตับปลา หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Cod Liver Oil จะได้มาจากส่วนตับของปลาทะเลโดยเฉพาะ และน้ำมันตับปลาจะเป็นแหล่งของวิตามินเอและวิตามินดี แต่ในน้ำมันปลา (Fish oil) จะไม่มีวิตามิน 2 ชนิดนี้
น้ำมันปลา
ช่วยอะไร บำรุงสมองได้จริงไหม
น้ำมันปลา (Fish oil) มีส่วนช่วยบำรุงสมองได้ เพราะเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมี DHA และ EPA ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาท และมีความสำคัญต่อการสร้างสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่สั่งงานของสมอง นอกจากนี้ กรดไขมันโอเมก้า 3 ที่พบในน้ำมันปลา ยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบในสมอง ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น
อีกทั้งหากได้รับโอเมก้า 3 ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะได้ประโยชน์ในด้านยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่สมองได้อย่างเป็นปกติดีและสะดวกขึ้น สมองก็จะทำงานได้ดีขึ้นด้วย และน้ำมันปลายังมีประโยชน์อื่น ๆ ตามนี้
-
ลดความเครียดในสมอง
-
ป้องกันความจำเสื่อม
-
ลดการอักเสบในร่างกาย เช่น ปอดอักเสบจากการติดเชื้อ
-
ลดอาการปวดอักเสบตามข้อ เช่น ข้อเสื่อม ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เกาต์
-
ลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
-
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตัน
น้ำมันปลากินตอนไหน
น้ำมันปลาควรกินพร้อมอาหาร หรือหลังมื้ออาหารไม่เกิน 30 นาที เพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำมันปลาได้ดีที่สุด และป้องกันอาการคลื่นไส้ แต่ทั้งนี้หากรับประทานน้ำมันปลาในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แนะนำให้กินตามที่ฉลากผลิตภัณฑ์ระบุเอาไว้จะดีกว่า
น้ำมันปลากินวันละกี่มิลลิกรัม
กินน้ำมันปลาต่อเนื่องได้ไหม
เราสามารถกินน้ำมันปลา (Fish oil) ต่อเนื่องได้ทุกวัน ส่วนปริมาณน้ำมันปลาที่ควรได้รับต่อวัน แบ่งตามช่วงอายุ ดังนี้
-
เด็กอายุ 2-3 ขวบ ควรได้รับน้ำมันปลาในปริมาณ 40 มิลลิกรัมต่อวัน
-
เด็กอายุ 4-8 ขวบ ควรได้รับน้ำมันปลาในปริมาณ 55 มิลลิกรัมต่อวัน
-
วัยรุ่น ควรได้รับน้ำมันปลาในปริมาณ 70-125 มิลลิกรัมต่อวัน
-
ผู้ใหญ่ ควรได้รับน้ำมันปลาในปริมาณ 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน
-
การใช้เพื่อสุขภาพ อาจต้องการน้ำมันปลาในปริมาณ 2,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ขึ้นอยู่กับแพทย์สั่ง
สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังกินยาอะไรอยู่ ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนรับประทานน้ำมันปลาด้วย
น้ำมันปลากับข้อควรระวัง
น้ำมันปลาอาจให้ผลข้างเคียงกับบางคนได้ ดังนั้นมาดูกันว่าน้ำมันปลามีข้อควรระวังในการกินยังไงบ้าง
-
คนที่แพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะแพ้ปลาทะเล ไม่ควรรับประทานน้ำมันปลา
-
ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบครึ่ง รับประทานน้ำมันปลา แต่ควรรับประทานเป็นน้ำมันปลาสูตรสำหรับเด็กที่เน้นการให้โอเมก้า 3 ชนิด DHA เพื่อบำรุงสมองและสายตาเป็นหลัก
-
การกินน้ำมันปลากับยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด เช่น ยาแอสไพริน หรือยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ควรมีการปรับขนาดการรับประทานให้เหมาะสม หรือปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อน
-
สำหรับหญิงตั้งครรภ์สามารถกินได้ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ควรได้รับน้ำมันปลาอย่างน้อย 400 มิลลิกรัมต่อวันของปริมาณกรดไขมัน DHA ที่พบในน้ำมันปลา
-
ในบางคนอาจมีอาการคลื่นไส้เมื่อรับประทาน
วิธีเลือกซื้อน้ำมันปลา
หากคิดจะเลือกซื้อน้ำมันปลาในรูปแบบอาหารเสริม เรามีทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนซื้อน้ำมันปลามาฝาก ดังนี้
-
เช็กปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น DHA และ EPA ว่ามีปริมาณเท่าไร เหมาะสมกับราคาที่ต้องจ่ายไหม
-
เลือกรูปแบบของเม็ดหรือแคปซูลที่สะดวกกับเรา เช่น น้ำมันปลาในรูปแบบเม็ดซอฟต์เจลขนาดเล็ก กลืนง่าย แต่อาจต้องกินมากกว่า 1 เม็ดต่อวัน หรือแคปซูลเม็ดใหญ่ที่กินวันละแค่ 1 แคปซูล เป็นต้น
-
ถ้าไม่ชอบกลิ่นน้ำมันปลา ให้เลือกแบบไร้กลิ่น หรือที่ระบุคำว่า Odorless บนฉลาก หรือเลือกยี่ห้อที่แต่งกลิ่น เพื่อลดกลิ่นคาวของน้ำมันปลาก็ได้
-
เช็กข้อควรระวังของแต่ละผลิตภัณฑ์ให้ดี เช่น บางยี่ห้อจะระบุว่าเด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน หรือแจ้งสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้อาหาร เช่น มีส่วนผสมของปลาทะเล อาหารทะเล มีถั่วเหลือง มีกลูเตน เป็นต้น
-
ควรซื้อน้ำมันปลาจากแหล่งผลิตที่มีมาตรฐาน แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ ได้รับการรับรองจาก อย.
-
เช็กวันผลิตและวันหมดอายุบนผลิตภัณฑ์ให้ดี
-
ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานน้ำมันปลา
-
เลือกซื้อกับเภสัชกร หรือซื้อตามแพทย์สั่งเท่านั้น
น้ำมันปลา (Fish oil) ยี่ห้อไหนดี
1. น้ำมันปลา ยี่ห้อ Real Elixir Odourless Fish Oil
น้ำมันปลาที่สกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึกนำเข้าจากนิวซีแลนด์ พร้อมแต่งกลิ่นเปปเปอร์มินต์ โดยแต่ละเม็ดบรรจุน้ำมันปลามาในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม มี DHA 120 มิลลิกรัม EPA 180 มิลลิกรัม และทางแบรนด์ก็เคลมว่าเป็นน้ำมันปลาชนิดไม่มีกลิ่นด้วยนะคะ ใครที่กลัวเรื่องกลิ่นคาว ๆ ของน้ำมันปลาก็หมดห่วงได้เลย
- ขนาดบรรจุ : มีขนาด 30 แคปซูล และขนาด 100 แคปซูล
- ราคาปกติ : 220 บาท และ 790 บาท (ราคาตามจำนวนแคปซูล)
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล
2. น้ำมันปลา ยี่ห้อ NOW DHA-250
ขวดนี้เป็นน้ำมันปลาสัญชาติอเมริกัน สกัดมาจากปลาแอนโชวีธรรมชาติ กลั่นและสกัดน้ำมันปลาด้วยกรรมวิธีระดับโมเลกุล เพื่อคงปริมาณ DHA เอาไว้ให้มากที่สุด ซึ่งของแบรนด์นี้จะเป็นน้ำมันปลาในรูปแบบซอฟต์เจลขนาดเล็ก ง่ายต่อการกลืน ไม่คาว ใน 1 เม็ด ประกอบไปด้วย น้ำมันปลา 500 มิลลิกรัม กรดไขมัน DHA 250 มิลลิกรัม กรดไขมัน EPA 125 มิลลิกรัม กรดไขมันอิ่มตัว 60 มิลลิกรัม
- ขนาดบรรจุ : 120 เม็ด
- ราคาปกติ : 1,189 บาท
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 เม็ด หลังตื่นนอน ก่อนอาหาร
3. น้ำมันปลา ยี่ห้อ Blackmores Fish Oil 1000 mg
น้ำมันปลาในรูปแบบแคปซูลที่บรรจุน้ำมันปลาจากแหล่งธรรมชาติมา 1,000 มิลลิกรัม โดยแต่ละแคปซูลจะให้กรดไขม้นโอเมก้า 3 ในปริมาณ 300 มิลลิกรัม แยกเป็น DHA 120 มิลลิกรัม EPA 180 มิลลิกรัม และยังเสริมวิตามินอีมาให้ 10 หน่วยสากลด้วยนะคะ นอกจากนี้บนฉลากผลิตภัณฑ์ยังระบุว่าเป็นน้ำมันปลาที่ผ่านการตรวจสอบปริมาณสารปรอทและตะกั่วมาเรียบร้อยแล้ว
- ขนาดบรรจุ : 80 แคปซูล
- ราคาปกติ : 450 บาท
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร
4. น้ำมันปลา ยี่ห้อ MEGA WE care FISH OIL 1000 mg
น้ำมันปลาจากแบรนด์อาหารเสริมชื่อดังในบ้านเรา โดยใน 1 แคปซูล จะให้น้ำมันปลา 1,000 มิลลิกรัม มีกรดไขมันโอเมก้า 3 แบ่งเป็น DHA 120 มิลลิกรัม EPA 180 มิลลิกรัม รวม ๆ แล้วให้กรดไขมันสำคัญอยู่ที่ 300 มิลลิกรัมต่อแคปซูล และเขายังใส่วิตามินอีมาให้อีก 1.4 มิลลิกรัมด้วยนะคะ เพียงแต่ว่าน้ำมันปลาของแบรนด์นี้อาจจะมีขนาดแคปซูลที่ใหญ่หน่อย
- ขนาดบรรจุ : มีขนาด 100 แคปซูล และ 200 แคปซูล
- ราคาปกติ : 400 บาท และ 699 บาท (ราคาตามจำนวนแคปซูล)
- วิธีรับประทาน : ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง พร้อมอาหาร
5. น้ำมันปลา ยี่ห้อ VISTRA Salmon Fish Oil 1000 mg Plus Vitamin E
สำหรับคนที่ต้องการน้ำมันปลาที่มีวิตามินอื่น ๆ ด้วย ขวดนี้มีน้ำมันปลาที่สกัดมาจากปลาแซลมอน 1 แคปซูลจะให้น้ำมันปลา 1,000 มิลลิกรัม ให้กรดไขมันโอเมก้า 3 รวม 300 มิลลิกรัม (DHA 120 มิลลิกรัม EPA 180 มิลลิกรัม) และยังเสริมวิตามินอีมาให้ในปริมาณ 10 หน่วยสากล หรือ 9.09 มิลลิกรัม ที่สำคัญยังเป็นน้ำมันปลาที่ราคาย่อมเยา
- ขนาดบรรจุ : 45 แคปซูล
- ราคาปกติ : 150 บาท
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล พร้อมอาหาร
6. น้ำมันปลา BANNER Hi-B FISH OIL
น้ำมันปลาแบรนด์ไทยจากโอสถสภา และเป็นน้ำมันปลาที่ใส่วิตามินบีรวม ทั้งวิตามินบี 1, 2, 3, 5, 6, 9, 12 และกรดอะมิโนครบ 18 ชนิด แต่อาจจะได้ปริมาณน้ำมันปลาไม่ค่อยเยอะเท่าไรนะคะ โดยใน 1 แคปซูล จะมีน้ำมันปลาเพียง 200 มิลลิกรัม เป็น DHA 21 มิลลิกรัม EPA 32 มิลลิกรัม แต่หากใครที่รู้สึกว่าสมองล้า ๆ อยากได้วิตามินบีช่วยเสริมการทำงานของสมองด้วย ก็ลองพิจารณาขวดนี้ดูเลย
- ขนาดบรรจุ : 30 แคปซูล
- ราคาปกติ : 342 บาท
- วิธีรับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล
7. น้ำมันปลายี่ห้อ BRAND'S RED MARINE FISH OIL
เป็นอีกหนึ่งแบรนด์อาหารเสริมอันดับต้น ๆ ในไทย โดยขวดนี้เป็นน้ำมันปลาที่ได้มาจากปลาในน้ำทะเลบริสุทธิ์ ให้ปริมาณน้ำมันปลามา 1,000 มิลลิกรัม ต่อ 2 แคปซูล และยังเติมสารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอสตาแซนทิน (Astaxanthin) และวิตามินอีที่ก็มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระมาด้วย อีกทั้งยังเป็นน้ำมันปลาในรูปแบบแคปซูลซอฟต์เจลขนาดเล็กเพียง 1.5 เซนติเมตร กลืนง่าย
- ขนาดบรรจุ : 60 แคปซูล
- ราคาปกติ : 660 บาท
- วิธีรับประทาน : วันละ 2 แคปซูล
8. น้ำมันปลา ยี่ห้อ Mamarine ซีเนียร์ สูตรเม็ดซอฟต์เจล
ขวดนี้เป็นอาหารเสริมที่มีทั้งน้ำมันปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 สารสกัดจากโสม โกจิเบอร์รี และยังใส่วิตามิน แร่ธาตุรวม 10 ชนิด มาให้ในแคปซูลซอฟต์เจล เรียกได้ว่าใน 1 แคปซูลจะได้สารอาหารที่หลากหลาย ทว่าเม็ดแคปซูลของเขาอาจจะมีขนาดใหญ่ไปหน่อยสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการกลืนนะคะ
- ขนาดบรรจุ : 30 แคปซูล
- ราคาปกติ : 600 บาท
- วิธีรับประทาน : วันละ 1 แคปซูล เวลาใดก็ได้
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปลา :
► น้ำมันปลาสำหรับคนท้อง ยี่ห้อไหนดี ? แนะนำ 10 น้ำมันปลาบำรุงครรภ์ ที่คุณแม่ห้ามพลาด
► น้ำมันปลา อาหารเสริมสุดฮิต ที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมันสะสมได้