ไซนัสอักเสบ แตกต่างจาก หวัด อย่างไร

         ฮัดชิ่ว!!!! จามอีกแล้ว ไออีกต่างหาก แถมปวดบริเวณใบหน้าด้วย ดูท่าจะไม่ใช่แค่เป็น "หวัด" ธรรมดาเสียแล้วล่ะมั้ง เกรงว่าจะเป็น "ไซนัสอักเสบ" แล้วโรคไซนัสอักเสบเป็นอย่างไรล่ะเนี่ย รักษาได้หรือไม่ ใครที่มีอาการต้องสงสัย ต้องมาอ่านเรื่อง ไซนัสอักเสบ ที่เรานำมาเสนอกันในวันนี้ค่ะ

ไซนัสอักเสบ

ไซนัส คืออะไร

          มารู้จัก ไซนัส กันก่อนดีกว่า ไซนัส (Sinus) ก็คือโพรงอากาศในกะโหลก ซึ่งเรียกว่า โพรงไซนัส มีทั้งหมด 4 ตำแหน่งเป็นคู่ ๆ คือ

          - บริเวณหน้าผาก ใกล้กับหัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง (frontal sinus)
          - บริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง (ethmoid sinus)
          - บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง (Maxillary sinus)
          - บริเวณกะโหลกศีรษะ ใกล้ฐานสมอง (sphenoid sinus)

          โดยหน้าที่ของไซนัส มีส่วนทำให้กะโหลกศีรษะเบาขึ้น เวลาพูดมีเสียงก้องกังวานขึ้น (เพราะเป็นโพรงอากาศ) และเยื่่อบุของไซนัสและจมูก จะผลิตน้ำมูกเมือกใส ๆ วันละ 0.5-1 ลิตร เพื่อดักจับฝุ่นละออง และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ในอากาศที่เราหายใจเข้าไป และเยื่อบุเหล่านี้จะมีขนเล็ก ๆ พัดน้ำมูกลงไปด้านหลังของจมูก ผ่านช่องคอ ก่อนกลืนลงไปสู่กระเพาะอาหาร และจะถูกกรดในกระเพาะทำลายเชื้อโรคให้หมดไป


แล้วไซนัสอักเสบล่ะเกิดจากอะไร

          ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) จะเกิดขึ้นเมื่อจมูกมีการติดเชื้อ มีการอักเสบ อาจเป็นเพราะอาการหวัด เป็นภูมิแพ้ มีสารระคายเคือง มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในจมูก รวมทั้งการมีฟันกรามผุถึงโพรงรากฟัน การเป็นโรคหัด และเกิดอุบัติเหตุที่กระดูกบนใบหน้า จึงทำให้ท่อที่ติดต่อระหว่างโพรงไซนัส และจมูก เกิดอาการบวมแล้วตีบตัน จนมีน้ำเมือกในโพรงจมูกคั่งค้างอยู่ เมื่อมูกภายในสะสมมากขึ้นจะมีความหนืด และมีสภาพความเป็นกรด ทำให้เชื้อโรคเข้าไปเจริญเติบโตได้ดี จนกลายเป็นภาวะโพรงจมูกอักเสบ หรือไซนัสอักเสบนั่นเอง

อาการของไซนัสอักเสบ

โรคไซนัสอักเสบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. ไซนัสอักเสบ แบบเฉียบพลัน

          คือไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถหายได้ภายใน 7 วัน อาการทั่วไปจะเหมือนไข้หวัด มีไข้ เมื่อเชื้อลุกลามเข้าสู่ไซนัสก็จะมีอาการปวดจมูก ปวดกระบอกตา หรือแก้มข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง น้ำมูกและเสมหะจะมีสีเหลืองอมเขียวมากขึ้น อาจปวดกระดูกขากรรไกรบน หรือปวดฟันบนด้วย โอกาสที่การติดเชื้อจะลุกลามมีสูง จึงควรรักษาอย่างจริงจัง เพื่อลดโอกาสที่จะกลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง
      
2. ไซนัสอักเสบเรื้อรัง

          คือไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มีอาการมากกว่า 10 วัน และในช่วงที่เป็นนั้น อาการต่าง ๆ ไม่มีช่วงที่หายสนิท จะมีอาการปวดตื้อ ๆ มึนงง ร่วมกับคัดจมูกเรื้อรัง มีเสมหะเหนียวในลำคอตลอดวัน เพราะมูกจากไซนัสไหลลงมาทางจมูกนั่นเอง ประสิทธิภาพในการดมกลิ่น รับกลิ่นของจมูกจะลดลง และลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

          สาเหตุที่ไซนัสอักเสบเรื้อรัง เป็นผลจากผู้ป่วยได้รับการรักษาไซนัสอักเสบระยะเฉียบพลันในเวลาที่น้อย หรือสั้นเกินไป หรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือมีภาวะผิดปกติเป็นปัจจัยร่วมด้วย เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ พักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ เป็นต้น

ไซนัส

กลุ่มเสี่ยงไซนัสอักเสบ

          ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นไซนัสอักเสบได้แม้แต่เด็กแรกเกิด แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นไซนัสอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วไป คือ

           1. คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้จะเหมือนคนเป็นหวัด เยื่อบุจมูกจะบวม รูเปิดไซนัสจะตีบตันทำให้เกิดการอักเสบในไซนัสได้

           2. คนที่มีความผิดปกติของช่องจมูก เช่น ผนังกั้นระหว่างช่องจมูกคด ทำให้ช่องจมูกแคบกว่าปกติเกิดอาการแน่นคัดจมูก และขัดขวางการไหลเวียนตามปกติของน้ำมูกที่จะไปทางด้านหลังทำให้มีโอกาสเกิด การอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น

           3.คนที่สูบบุหรี่และคนที่อยู่ในเขตมลภาวะเป็นพิษ จะมีผลทำให้ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบมากขึ้น

           4. มีคนกล่าวถึงการว่ายน้ำสระที่ใส่น้ำยาคลอรีน หรือฆ่าเชื้อด้วยโอโซนอาจทำให้มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบเกิดขึ้น เพราะว่ามีการระคายเคืองของเยื่อบุเกิดขึ้น

การวินิจฉัยโรค เป็นหวัด หรือ ไซนัสอักเสบ

          อาการต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับไข้หวัดธรรมดา เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย เจ็บคอ มักจะหายภายใน 7-10 วัน ส่วนอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ อาจเป็นต่อเนื่องถึง 2-3 สัปดาห์ แต่ความรุนแรงจะลดลง จนหายได้ในที่สุด

          แต่ถ้าผ่านไป 10 วันแล้วอาการต่าง ๆ ของไข้หวัด เช่น เป็นไข้หวัด ไอถี่ โดยเฉพาะเวลากลางคืนไม่ดีขึ้นเลย หรือดีขึ้นแล้วกลับมาทรุดลง หรือเป็นซ้ำอีก ที่สำคัญคือปวดบริเวณหน้า ลักษณะเช่นนี้อาจเป็นไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียตามมาได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคัดแน่นจมูก น้ำมูกไหลลงรูจมูก หรือไหลลงคอ หรืออาจปวดตื้อด้านข้างจมูก ใบหน้า ตามมา

          หากมีอาการเช่นนี้ แพทย์จะตรวจโพรงจมูกและไซนัส โดยใช้กล้องส่องตรวจพิเศษ เพื่อวินิจฉัยอาการ โดยอาการแสดงจำเพราะว่าเกิดไซนัสอักเสบคือ พบมูกหนองที่บริเวณช่องข้างจมูกชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางระบายมูกจากโพรงไซนัสเข้ามาสู่ช่องจมูก และในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจเก็บมูกหนองไปเพราะเชื้อตรวจ

          นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาตรวจทางรังสีวิทยาร่วมด้วย โดยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพราะจะสามารถบอกรายละเอียดของโรค และโครงสร้างทางกายวิภาคโพรงจมูกและไซนัสได้เป็นอย่างดี และสามารถใช้วินิจฉัยแยกจากโรคอื่น ที่มีลักษณะอาการคล้ายกับไซนัสอักเสบได้ด้วย

โรคแทรกซ้อนของไซนัสอักเสบ

          ไซนัสอักเสบ ปกติไม่อันตรายมาก เพียงแค่กินยาก็หาย แต่โรคแทรกซ้อนที่อาจพบได้บ้างก็คือ

           1. การติดเชื้อที่อาจลุกลามเข้าไปในกระบอกตา ซึ่งจะทำให้เนื้อเยื่อรอบ ๆ ตาอักเสบและเกิดเป็นฝีรอบตา  (Periorbital abcess) มักพบในเด็ก หรือคนชรา ความรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว โดยจะพบว่ามีอาการตาบวมข้างเดียว แดงรอบ ๆ และในลูกตา หนังตาบวมกดเจ็บ ลูกตาโปน สามารถรักษาได้โดยการฉีดยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม และการผ่าตัด

           2. โรคแทรกซ้อนขึ้นสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีใต้เยื่อหุ้มสมอง ซึ่งมักพบในเด็ก หรือคนชรา ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน

           3. ริดสีดวงจมูก คือ ก้อนในจมูกที่เกิดจากภาวะไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือเกิดจากภูมิแพ้ ไม่ลุกลามไปที่อื่น แต่เบียดกระดูก หากทานยาแก้แพ้จะทำให้ยุบลงได้บ้าง การรักษาทำได้ด้วยการผ่าตัด

          แต่อาการแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้ไม่บ่อยนัก ในรายที่มีอาการเรื้อรังอาจจะมีความสัมพันธ์กับโรคทางปอด หลอดลมอักเสบ ไอเรื้อรัง หอบหืด และหูชั้นกลางอักเสบได้

ไซนัสอักเสบ

การรักษาโรคไซนัสอักเสบ

          มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งเมื่อเป็นไซนัสอักเสบที่เกิดจากไวรัส แจะสามารถหายเองได้ไม่เกิน 7 วัน ด้วยการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี คือ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ อยู่ในสถานที่มีอากาสถ่ายเทดี ออกกำลังกายตามความเหมาะสม ทานอาหารที่มีประโยชน์ ร่วมกับทานยาตามอาการ โดยการรักษาโรคไซนัสอักเสบ จะแบ่งเป็นการรักษาแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง คือ

          การรักษาไซนัสอักเสบเฉียบพลัน รักษาโดย

          - ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งควรได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 10-14 วัน
          - ยาพ่นจมูกชนิดสเตียรอยด์ ควรใช้ควบคู่ไปกับยาปฏิชีวนะ
          - ยาลดการบวม มีทั้งชนิดรับประทานและชนิดพ่นหรือหยอดจมูก ช่วยบรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3-5 วัน
          - ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้งที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการง่วงและไม่ง่วง
          - การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่าย และช่วยให้อาการทางไซนัสดีขึ้น ลดความหนืดของน้ำมูก และช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ชนิดมีขนอ่อนไว้พัดโบกในโพรงจมูกและไซนัส
          - การสูดดมไอน้ำร้อน

          การรักษาไซนัสอักเสบเรื้อรัง

          หากใช้การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบเป็นซ้ำหลาย ๆ ครั้ง รวมถึงรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการอักเสบเฉียบพลันทั้งต่อทางตา,สมองและ กระดูกที่อยู่บริเวณใกล้เคียง แพทย์อาจพิจารณาใช้การผ่าตัดผ่านกล้องเอนโดสโคปเข้าช่วย เช่น การเจาะล้างไซนัส เพื่อล้างมูกหนองที่คั่งอยู่ในท่อออกไป หรือการผ่าตัดขยายรูเปิดของไซนัส

          ปัจจุบันการตรวจรักษา และการผ่าตัดมีความปลอดภัยสูงมาก และมีประสิทธิภาพ ยังคงรักษาสภาพโครงสร้างหลักที่สำคัญของช่องจมูกไว้ได้ในสภาพปกติดังเดิม อีกทั้งผู้ป่วยก็เสียเลือดไม่มาก และฟื้นตัวได้เร็ว

วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือด้วยตัวเอง

           1. หาซื้อน้ำเกลือ หรืออาจผสมขึ้นเอง โดยใช้น้ำสะอาด 750 ซีซี ผสมกับเกลือสะอาด 1 ช้อนชา หรืออาจใช้ 0.9% normal saline ที่ไม่มีน้ำตาลผสมอยู่

           2. เทน้ำเกลือลงในแก้วสะอาด

           3. ดูดน้ำเกลือจากแก้วสะอาดเข้าในลูกยาง หรือหลอดฉีดยา (Syringe) ที่ไม่มีเข็ม หรือใส่ในขวดยาพ่นจมูก

           4. พ่นน้ำเกลือจากลูกยาง หรือหลอดฉีดยาเข้าในจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ในท่าก้มหน้า กลั้นหายใจในระหว่างฉีดน้ำเกลือเข้าสู่จมูก อ้าปากเล็กน้อย ค่อยฉีด ๆ เข้าจมูก

           5. หายใจออก พร้อมสั่งน้ำมูก หากมีน้ำมูกหรือน้ำเกลือไหลลงคอ ให้กลั้วคอบ้วนทิ้ง ถ้ายังไม่โล่งก็ทำซ้ำอีกได้จนน้ำมูกหมด

           6. ทำซ้ำแบบเดียวกับรูจมูกอีกข้าง

วิธีล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ

ข้อแนะนำในการดูแลตัวเอง

           - ผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้เกิดอาการหวัด ภูมิแพ้  เพราะคนส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นไซนัสอักเสบ มักเกิดมาจากโรคภูมิแพ้ของจมูก ดังนั้นหากรู้ว่า อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ ก็ควรหลีกเลี่ยง

           - ควรงดว่ายน้ำ ดำน้ำ ขึ้นเครื่องบิน ประมาณ 2 สัปดาห์ ในช่วงที่อาการกำเริบ

           - ไม่ควรรักษากันเองตามแบบพื้นบ้าน เช่น ใช้สารกรดบางอย่าง หยอดเข้าจมูก (ทำให้มีน้ำมูกไหลออกมามาก เพราะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อจมูก) อาจทำให้เกิดการอักเสบ และจมูกพิการได้

          - หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

          - ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท

การป้องกันโรคไซนัสอักเสบ

          โดยทั่วไปคือการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่ให้เป็นหวัด โดยพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือบริเวณที่มีฝุ่นควันมาก ๆ รวมทั้งพยายามรักษาสุขภาพของปากและฟันให้ดี ไม่ให้ฟันผุ และถ้าเป็นหวัดแล้ว ก็รีบรักษาให้หายขาดแต่เนิ่น ๆ

      
ขอบคุณข้อมูลจาก
หมอชาวบ้าน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
thailabonline


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ไซนัสอักเสบ แตกต่างจาก หวัด อย่างไร อัปเดตล่าสุด 24 กันยายน 2563 เวลา 13:45:01 573,186 อ่าน
TOP
x close