เรื่องของไขมันสะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่เพียงแค่ที่หน้าท้องหรือพุงเท่านั้นที่ทำให้สาว ๆ รู้สึกกังวล หรือหมดความมั่นใจ เมื่อต้องลุกขึ้นแต่งชุดสวย แต่ไขมันหรือที่เราเรียกว่าเซลลูไลท์บริเวณต้นขา ตลอดจนเรียวขานี่แหละก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยหน้าไปกว่าการกลัวมีแผลเป็น ที่เรียกว่าขาลายเลย
ดังเห็นได้จากคลินิกเพื่อความงามต่าง ๆ มักจะมีส่วนของการให้บริการสลายไขมันหรือเซลลูไลท์บริเวณขา น่อง และต้นขา ซึ่งธุรกิจนี้ดูเหมือนจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดด
อย่ากระนั้นเลยค่ะ คุณสาว ๆ รู้หรือเปล่าว่าสองมือของเราก็จัดการกับเซลลูไลท์ด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องไปพึ่งพาใคร หรือควักเงินไปจ่ายคลินิกให้เปลืองสตางค์ ขอเพียงแต่คุณตั้งใจและกระทำอย่างสม่ำเสมอเป็นคำตอบสุดท้ายเท่านั้น
ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายนับเป็นสูตรสำเร็จเพื่อความงามและยังทำให้สุขภาพของเราดีด้วย แต่สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไขมันบริเวณต้นขาหรือน่องล่ะก็ เพิ่มการออกกำลังกายด้วยการย่อเข่า ก็จะช่วยในการกำจัดไขมันและช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและลดต้นขาได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ๆ คล้าย ๆ กับการออกกำลังกายลุกนั่ง หรือหากใครชอบเดิน ก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ แต่อย่าลืมว่าการลุกขึ้นย่อเข่าควรทำอย่างน้อย 30 ครั้ง และการเดินก็ไม่ควรน้อยกว่า 30 นาทีค่ะ
การกระโดดเชือกก็เป็นอีกวิธีการออกกำลังที่ช่วยลดไขมันบริเวณต้นขาได้ ซึ่งมีรายงานระบุว่า การกระโดดเชือกติดต่อกัน 15 นาที ก็เหมือนกับคุณออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งนานถึง 30 นาที ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าสูตรนี้บรรดาเหล่าเทรนเนอร์มักจะใช้กับดาราสาวฮอลลีวู้ดทั้งหลายที่อยากจะให้เชฟเฟิร์ม
วิธีลดน่องโดยการกระโดดเชือกด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง จะช่วยลดแรงกระแทกลงได้มาก ไม่เกิดอันตรายต่อเข่า หรือทำให้เข่าเสื่อม เข่าพัง อย่างที่หลายคนเคยได้ยินกันมา วิธีลดน่องโดยการกระโดดเชือกที่ถูกวิธี จะกระโดดเพียงแค่ต่ำ ๆ สูงจากพื้นไม่เกิน 1-2 นิ้ว โดยที่จะใช้ข้อเท้า กล้ามเนื้อน่อง รวมถึงการงอเข่าเล็กน้อย ช่วยในการดูดซับแรงกระแทกลงได้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งแรงกระแทกที่เกิดขึ้นยังน้อยกว่าการวิ่งอีกด้วย การกระโดดแบบผิด ๆ ด้วยการกระโดดสูงเกินไปต่างหาก ที่มีโอกาสทำให้เข่าพังได้ จากแรงกระแทกที่สูงเกินไป
ขึ้น-ลงบันได
สำหรับข้อแนะนำนี้เพื่อสกัดกั้นสาว ๆ ที่บอกว่า "ไม่มีเวลา ๆ ออกกำลังกับใครเขาเลย" ค่ะ ขอแต่เพียงคุณใช้เวลาพัก หรือเวลาที่ต้องทำงานให้เป็นประโยชน์ก็ช่วยได้ แม้กระทั่งเวลาสวมรองเท้าส้นสูงก็ไม่มีข้อห้ามค่ะ เพราะมีรายงานอีกด้วยว่า การขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 2 ชั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 2.7 กิโลกรัมในเวลา 1 ปี และมีหลักฐานยืนยันว่า การเดินขึ้น-ลงบันไดสามารถเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกาย และเพิ่มปริมาณ High-density lipoprotein (HDL) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีได้
การขึ้นบันไดสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 8-11 กิโลแคลอรี่ต่อนาที ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไป ส่วนการลงบันไดจะใช้พลังงานประมาณ 1 ใน 3 ของการขึ้นบันได การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังกายขณะทำงานรูปแบบหนึ่งเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ ถึงขนาดมีการแข่งขันการเดินขึ้นบันไดเป็นประจำทุกปี เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน ทำได้ง่าย สะดวกทุกที่ ทุกเวลา
การเดินขึ้นบันไดเป็นการออกกำลังแบบแอโรบิค หัวใจจะแข็งแรง ทำให้กล้ามเนื้อต้นขา น่อง และก้นแข็งแรง กระชับ นอกจากนั้นที่น่าสนใจคืออาการปวดข้อน้อยกว่าการวิ่งด้วยซ้ำ
นวดและสครับผิวขา
ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2-4 สัปดาห์ หากอายุเรามากกว่า 20 ปีขึ้นไป แล้วการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อย ๆ แต่การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส
งานนี้เราสามารถทำได้เอง เพราะในตลาดเวลานี้มีเครื่องมือเพื่อการขัดผิว หรือ Exfoliating มากมายให้เลือก ซึ่งก็คือ การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา ดังนั้นการขัดผิวก็เหมือนการเผยผิวที่กระจ่างใสของเราที่โดนเซลล์ผิวเก่าของเราปิดบังซ่อนเอาไว้อยู่นั้นเอง
การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม ใยบวม หินขัด หรือแม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั้นควรทำอย่างนิ่มนวล และไม่ทำบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวอ่อนไหวและไม่สามารถทนแดด และจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย
อาหารเรื่องที่ต้องสนใจ
หมดจากการจัดการกับปัญหาภายนอกแล้ว ก็ต้องไม่ลืมการจัดการกับปัญหาภายใน นั่นคือการรับประทานอาหาร หากคุณสาว ๆ ไม่อยากให้ไขมันหรือเซลลูไลท์พอกพูนหรือเกิดขึ้นใหม่ล่ะก็ ควรลดการบริโภคไขมันและน้ำตาล ดื่มน้ำให้เพียงพอกับร่างกายต้องการ ประมาณวันละ 8 แก้ว หรือการใช้วิธีดีท็อกซ์ ทั้งอบ ไอน้ำ ซาวน่า หรืออีกข้อแนะนำคือ หันมากินอาหาร Raw Food คือรับประทานอาหารในรูปแบบมังสวิรัติและทานเจ แบบที่ไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนที่สูงกว่า 40-42 องศา เพื่อที่ความร้อนจะไม่ไปสร้างความเป็นกรดให้อาหารนั่นเอง
สะดวกวิธีไหนก็ลองทำกันดูนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก