อาการที่สาว ๆ เป็นกันมาก เพราะจำเป็นต้องอั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ว่าแต่โรคนี้อันตรายหรือไม่ ลองอ่าน
ว่าแล้ว...วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ขอหยิบเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับ "โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ" มาบอกกัน ถ้ารู้ถึงความน่ากลัวของมันแล้ว จะได้ระวัง ไม่กล้าอั้นปัสสาวะอีกไงล่ะ โดยเฉพาะคุณสาว ๆ เวิร์กกิ้งวูแมน โรคนี้เป็นโรคฮิตของคุณเลยล่ะ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากอะไร
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือ Cystitis เกิดจากแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในลำไส้ของคนเรา โดยเชื้อชนิดนี้มันจะเข้าไปทางท่อปัสสาวะ ดังนั้น จึงมักพบผู้หญิงป่วยด้วยโรคนี้มากกว่าผู้ชายหลายเท่า นั่นเพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนัก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมากนั่นเอง
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้หญิงแทบทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม แต่จะพบมากเป็นพิเศษในกลุ่มหญิงมีครรภ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์) รวมทั้งผู้หญิงที่ชอบอั้นปัสสาวะนาน ๆ และผู้หญิงที่แต่งงานใหม่ เพราะการมีเพศสัมพันธ์จะทำให้เชื้อเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ นอกจากนี้ คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และต่อมลูกหมากโต ก็อาจมีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบแทรกซ้อนด้วย
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อาการเป็นอย่างไร
ผู้ที่เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะมีอาการดังนี้
- ปัสสาวะกะปริดกะปรอย
เป็นปัญหาไม่ได้รับเชิญที่ต้องพบอยู่บ่อย ๆ
เมื่อต้องเดินทางไกล ๆ หรืออยู่บนถนนที่รถราติดขัดทีไร
ทำไมน้า...เราจะต้องรู้สึก "ปวดปัสสาวะ" ทุกที จะลงไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ ก็เลยต้องอั้นอยู่เสมอ ๆ แต่ถ้าหากคุณมีพฤติกรรมเช่นนี้บ่อย ๆ ล่ะก็ ระวัง "โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ" จะถามหาเอาได้นะ ถ้าใครเคยเป็นแล้วคงรู้ว่ามันทรมานสุด ๆ
ว่าแล้ว...วันนี้ กระปุกดอทคอม ก็ขอหยิบเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับ "โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ" มาบอกกัน ถ้ารู้ถึงความน่ากลัวของมันแล้ว จะได้ระวัง ไม่กล้าอั้นปัสสาวะอีกไงล่ะ โดยเฉพาะคุณสาว ๆ เวิร์กกิ้งวูแมน โรคนี้เป็นโรคฮิตของคุณเลยล่ะ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากอะไร
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือ Cystitis เกิดจากแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในลำไส้ของคนเรา โดยเชื้อชนิดนี้มันจะเข้าไปทางท่อปัสสาวะ ดังนั้น จึงมักพบผู้หญิงป่วยด้วยโรคนี้มากกว่าผู้ชายหลายเท่า นั่นเพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนัก ซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมากนั่นเอง
เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้หญิงแทบทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม แต่จะพบมากเป็นพิเศษในกลุ่มหญิงมีครรภ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์) รวมทั้งผู้หญิงที่ชอบอั้นปัสสาวะนาน ๆ และผู้หญิงที่แต่งงานใหม่ เพราะการมีเพศสัมพันธ์จะทำให้เชื้อเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ นอกจากนี้ คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และต่อมลูกหมากโต ก็อาจมีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบแทรกซ้อนด้วย
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อาการเป็นอย่างไร
ผู้ที่เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะมีอาการดังนี้
- ปัสสาวะกะปริดกะปรอย
- ปวดปัสสาวะบ่อย แต่รู้สึกปัสสาวะออกไม่สุด
- มักปวดขัด หรือแสบร้อนเวลาปัสสาวะ
- บางคนอาจปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะด้วย
- หากสังเกต
ปัสสาวะจะมีกลิ่นเหม็น สีใส แต่ปัสสาวะบางคนก็อาจขุ่น หรือมีเลือดปนด้วย
ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นหลังอั้นปัสสาวะนาน ๆ หรือหลังร่วมเพศ
- ในเด็กเล็กอาจเป็นไข้ เบื่ออาหาร และอาเจียนร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม โรคนี้มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่บางคนอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคอาจลุกลามทำให้กลายเป็นโรคกรวยไตอักเสบ หรือไตวายได้ หากผู้ป่วยเป็นผู้ชายและมีอาการรุนแรง เชื้อก็อาจลามเข้าไปทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบได้
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นแล้วต้องทำอย่างไร
ผู้ที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะต้องเข้ารับการรักษา โดยแพทย์จะให้ทานยาแก้ปวด และยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อ แต่ผู้ป่วยก็ต้องรู้จักดูแลตัวเอง ด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเร่งการขับเชื้อ ที่สำคัญคือ อย่าอั้นปัสสาวะ ส่วนการรับประทานอาหารนั้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะทำให้กระเพาะปัสสาวะระคายเคือง เช่น กาแฟ หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการปัสสาวะในไต และกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการหดตัว
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น เช่น ยังปัสสาวะแสบขัดอยู่ มีไข้ขึ้นสูง ปวดบั้นเอว หนาวสั่น หรือเป็นซ้ำมากกว่า 2-3 ครั้ง ควรส่งโรงพยาบาล เพื่อตรวจหาสาเหตุโดยแพทย์จะตรวจปัสสาวะ แล้วนำไปเพาะหาเชื้อ เอกซเรย์ หรือใช้กล้องส่องตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ (Cystoscope) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ
นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเช่น เบาหวาน ต่อมลูกหมากโต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หากมีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย ก็ควรพบแพทย์ด้วยเช่นกัน
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ป้องกันได้อย่างไร
โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการกลั้นปัสสาวะอย่างเดียว เพราะเกิดจากการติดเชื้อได้เช่นกัน ดังนั้น นอกจากเราจะไม่อั้นปัสสาวะแล้ว เรายังต้องป้องกันการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะด้วย ซึ่งสามารถป้องกันได้ดังนี้
1.ดื่มน้ำวันละมาก ๆ
2.ห้ามกลั้นปัสสาวะถ้าไม่จำเป็น เพราะเชื้อโรคในกระเพาะปัสสาวะจะเจริญพันธุ์ได้มากขึ้น อีกทั้ง กระเพาะปัสสาวะที่เต็มไปด้วยปัสสาวะจะยืดตัว ทำให้ความสามารถในการขจัดเชื้อโรคของเยื่อบุผิวกระเพาะปัสสาวะลดน้อยลง จึงทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
3.ถ้าจะออกไปข้างนอก ควรเข้าห้องน้ำปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนทุกครั้ง
4.เวลาอาบน้ำ ควรใช้ฝักบัว หรือตักอาบ จะดีกว่าการใช้อาบอ่างน้ำ ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคในอ่าง เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่า
5.ล้างอวัยวะเพศก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
6.ห้ามใช้ยาสวนล้างช่องคลอด
7.ไม่ควรใช้ผ้าอนามัยแบบสอด
8.สำหรับผู้หญิงที่ปัสสาวะเสร็จ หรืออุจจาระเสร็จ ควรให้ทำความสะอาดอวัยวะเพศจากหน้าไปหลัง เพราะหากล้างจากหลังมาหน้า อาจทำให้มีเชื้อโรคเข้ามาจากทางทวารได้
9.หากมีอาการปวดแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ ให้รีบดื่มน้ำมาก ๆ (ประมาณวันละ 3-4 ลิตร) เพื่อขับเชื้อโรคออกจากร่างกายโดยเร็ว และยังช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะได้ด้วย
โรคกระเพาะปัสสาวะ เป็นอีกโรคหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว และสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่ายมาก ๆ โดยเฉพาะคุณสาว ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่อยากทุกข์ทรมานจากโรคนี้แล้วล่ะก็ อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีนะคะ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
อย่างไรก็ตาม โรคนี้มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่บางคนอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษา เชื้อโรคอาจลุกลามทำให้กลายเป็นโรคกรวยไตอักเสบ หรือไตวายได้ หากผู้ป่วยเป็นผู้ชายและมีอาการรุนแรง เชื้อก็อาจลามเข้าไปทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบได้
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นแล้วต้องทำอย่างไร
ผู้ที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะต้องเข้ารับการรักษา โดยแพทย์จะให้ทานยาแก้ปวด และยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อ แต่ผู้ป่วยก็ต้องรู้จักดูแลตัวเอง ด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเร่งการขับเชื้อ ที่สำคัญคือ อย่าอั้นปัสสาวะ ส่วนการรับประทานอาหารนั้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่จะทำให้กระเพาะปัสสาวะระคายเคือง เช่น กาแฟ หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการปัสสาวะในไต และกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะเกิดการหดตัว
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้น เช่น ยังปัสสาวะแสบขัดอยู่ มีไข้ขึ้นสูง ปวดบั้นเอว หนาวสั่น หรือเป็นซ้ำมากกว่า 2-3 ครั้ง ควรส่งโรงพยาบาล เพื่อตรวจหาสาเหตุโดยแพทย์จะตรวจปัสสาวะ แล้วนำไปเพาะหาเชื้อ เอกซเรย์ หรือใช้กล้องส่องตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ (Cystoscope) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ
นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเช่น เบาหวาน ต่อมลูกหมากโต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ หากมีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย ก็ควรพบแพทย์ด้วยเช่นกัน
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ป้องกันได้อย่างไร
โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการกลั้นปัสสาวะอย่างเดียว เพราะเกิดจากการติดเชื้อได้เช่นกัน ดังนั้น นอกจากเราจะไม่อั้นปัสสาวะแล้ว เรายังต้องป้องกันการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะด้วย ซึ่งสามารถป้องกันได้ดังนี้
1.ดื่มน้ำวันละมาก ๆ
2.ห้ามกลั้นปัสสาวะถ้าไม่จำเป็น เพราะเชื้อโรคในกระเพาะปัสสาวะจะเจริญพันธุ์ได้มากขึ้น อีกทั้ง กระเพาะปัสสาวะที่เต็มไปด้วยปัสสาวะจะยืดตัว ทำให้ความสามารถในการขจัดเชื้อโรคของเยื่อบุผิวกระเพาะปัสสาวะลดน้อยลง จึงทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
3.ถ้าจะออกไปข้างนอก ควรเข้าห้องน้ำปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนทุกครั้ง
4.เวลาอาบน้ำ ควรใช้ฝักบัว หรือตักอาบ จะดีกว่าการใช้อาบอ่างน้ำ ซึ่งจะทำให้เชื้อโรคในอ่าง เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่า
5.ล้างอวัยวะเพศก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
6.ห้ามใช้ยาสวนล้างช่องคลอด
7.ไม่ควรใช้ผ้าอนามัยแบบสอด
8.สำหรับผู้หญิงที่ปัสสาวะเสร็จ หรืออุจจาระเสร็จ ควรให้ทำความสะอาดอวัยวะเพศจากหน้าไปหลัง เพราะหากล้างจากหลังมาหน้า อาจทำให้มีเชื้อโรคเข้ามาจากทางทวารได้
9.หากมีอาการปวดแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ ให้รีบดื่มน้ำมาก ๆ (ประมาณวันละ 3-4 ลิตร) เพื่อขับเชื้อโรคออกจากร่างกายโดยเร็ว และยังช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะได้ด้วย
โรคกระเพาะปัสสาวะ เป็นอีกโรคหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัว และสามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่ายมาก ๆ โดยเฉพาะคุณสาว ๆ เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่อยากทุกข์ทรมานจากโรคนี้แล้วล่ะก็ อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีนะคะ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก