พฤติกรรมสุดแย่ที่ควรลด ละ เลิก เมื่อย่างเข้าสู่วัย 30 แบบที่ใครเจอก็หันเมินหน้าหนี รีบเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย
เชื่อว่าหลายคนเมื่อยังเป็นวัยรุ่นก็มักจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่ทำจนเคยชินใช่ไหมคะ และก็ยังคงทำอย่างนั้นต่อมาเรื่อย ๆ เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไร จนกระทั่งโต พอรู้สึกตัวอีกทีก็อายุย่างเข้าเลข 3 ไปเสียแล้ว และกลายเป็นว่าสิ่งที่ทำจนเคยชินนั้นสร้างปัญหาใหญ่ให้กับชีวิต กว่าจะปรับตัวได้ก็อาจจะเสียโอกาสและเสียเวลาจนไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
ไม่เป็นไรค่ะ อดีตแก้ไขไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกอนาคตได้ แค่เพียงลด ละ เลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ที่ Buzzfeed รวบรวมมาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ควรหยุดทำซะก่อนอายุ 30 ใครที่ยังอายุไม่ถึง 30 รีบเปลี่ยนตัวเองซะ ถ้าไม่อยากก้าวสู่วัย 30 กะรัตแบบชีวิตพัง ๆ
1. เล่นแต่โทรศัพท์ตลอดเวลาจนไม่สนใจคนรอบข้าง
ถึงโทรศัพท์จะมีอะไรที่น่าสนใจมากมายก็เถอะ แต่การที่เอาแต่จับโทรศัพท์ เช็กนั่นเช็กนี่ในโทรศัพท์อยู่ตลอดจนไม่สนใจคนรอบข้าง แถมยังไม่ยอมวางโทรศัพท์เลยสักนาทีนั้น ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีเท่าไรนัก โดยในการศึกษาปี 2012 พบว่า กว่า 66 % ของอาสาสมัคร สารภาพว่าตนเองเป็นโรค Nomophobia หรือโรคกลัวการที่จะต้องอยู่โดยไม่มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสาเหตุก็มาจากการที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ตลอดเวลานี่ล่ะค่ะ
ไม่เพียงเท่านั้น การติดโทรศัพท์โดยไม่สนใจคนรอบข้างก็ยิ่งจะทำให้คนรอบข้างรู้สึกเบื่อหน่าย และยี้คุณไปตาม ๆ กัน ฉะนั้นเปลี่ยนจากการเล่นโทรศัพท์ตลอดเวลาเป็นเล่นบ้างพักบ้างจะดีกว่า เช่น เลิกสนใจโทรศัพท์เมื่ออยู่กับคนอื่น งดใช้โทรศัพท์ระหว่างอาหารเย็น กำหนดให้ตัวเองห้ามเล่นโทรศัพท์ติดต่อกันนานกว่า 20 นาที หรือไม่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้เล่นโทรศัพท์หลัง 23.00 น. ถ้าทำได้ คุณก็จะไม่มีทางติดโทรศัพท์อีกต่อไปแน่นอน
2. เก็บเงินไว้ในบัญชีที่สามารถนำออกมาใช้ได้ง่าย ๆ
ผลการศึกษาจากสถาบัน Princeton Survey Research Associates International ในปี 2014 พบว่า มีคนในวัยผู้ใหญ่มากกว่า 36 % ที่ยังไม่มีเงินเก็บสำหรับยามเกษียณ ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าคุณเก็บเงินเอาไว้ในที่ ๆ สามารถนำมาใช้ได้ง่ายเกินไป และไม่แบ่งเงินสำหรับเก็บสะสมเลย
วิธีแก้ไขก็ไม่ยาก แค่เพียงเปิดบัญชีสะสมทรัพย์ขึ้นมาอีกสักบัญชี แล้วนำเงินเดือนที่ได้รับออกมาจัดสรรปันส่วนให้ดี ก่อนจะนำเงินที่เหลือฝากเข้าบัญชีเงินเก็บ ทำอย่างนี้ให้ได้ทุกเดือนคุณก็จะมีเงินเก็บแล้วล่ะค่ะ
3. รู้สึกโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลา
จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องที่น่าเจ็บใจ หากคนที่คุณไว้ใจหรือห่วงใยมาก ๆ มาทำให้คุณเสียใจ และเป็นธรรมดาที่คุณจะต้องเสียใจและโกรธแค้น แต่การศึกษาซึ่งตีพิมพ์ใน Association for Psychological Science กลับเปิดเผยให้เห็นว่า ความรู้สึกโกรธแค้นและความทรงจำอันเลวร้ายนั้นส่งผลเสียอย่างร้ายแรงไปถึงอารมณ์และอุปนิสัย รวมทั้งสุขภาพร่างกายอีกด้วย ดังนั้นปล่อยวางลงเสียบ้างจะดีกว่าค่ะ ฝึกให้ตัวเองรู้จักให้อภัยคนอื่นบ้าง ความโกรธแค้นในใจก็มีแต่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขนะคะ
4. ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการมองหาแฟน
จริงอยู่ที่การมองหาแฟนสักคนเป็นสิ่งที่ควรจะทำ เพราะถ้าหากอายุเกิน 30 ไปแล้วอาจจะหาได้ยากกว่าเดิม แต่คุณก็ไม่ควรให้น้ำหนักกับสิ่งนี้มากเกินไป ถ้าหากคุณยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนละก็ อย่าเอาแต่ใช้เวลาทั้งวันตามหาคนคนนั้นเลยค่ะ ปล่อยวางทำใจให้สบาย แล้วออกมาพบปะกับเพื่อนฝูง ไปเที่ยวในสถานที่ใหม่ ๆ ของแบบนี้ถ้าจะมาเดี๋ยวก็มาเองล่ะค่ะ
5. ไม่ยอมใช้ครีมกันแดด
รู้หรือไม่ว่าแสงแดดไม่ได้เพียงแต่ทำให้ผิวคล้ำขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียระยะยาวถึงสุขภาพ รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังอีกด้วย โดยมูลนิธิโรคมะเร็งผิวหนังในสหรัฐฯ เผยข้อมูลว่า คุณควรจะทาครีมกันแดดก่อนออกไปเจอแดดอย่างน้อย 30 นาที และควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมงเพื่อประสิทธิภาพที่ดีของครีมกันแดด โดยเฉพาะคนที่เหงื่อออกมาก ๆ ควรทาครีมกันแดดซ้ำเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ถ้าคุณสาว ๆ ที่ชอบแต่งหน้าควรลงครีมกันแดดก่อนจะเริ่มแต่งหน้า ทว่าควรจะหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ด้วย เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ผิวคุณบอบบางลง และอาจทำให้ผิวหนังไหม้จากแดดง่ายขึ้นอีกด้วย
6. ใช้เวลาช่วงกลางคืนอย่างเปล่าประโยชน์
ที่จริงแล้วก็ไม่ผิดหรอกค่ะที่จะใช้เวลาในช่วงนี้พักผ่อน และสังสรรค์หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน แต่การที่ไปสังสรรค์กับเพื่อนแล้วดื่มแอลกอฮอล์ แถมไม่ยอมกลับจนกว่าร้านจะปิดเนี่ย ส่งผลเสียต่อการนอนและสุขภาพแบบสุด ๆ โดยจะทำให้คุณมีประสิทธิภาพในการตัดสินใจแย่ลง ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมยังทำให้คุณอารมณ์แปรปรวน แต่ที่สำคัญสุด ๆ คือทำให้คุณอ้วนขึ้นแบบไม่ต้องสงสัยเลย คราวหลังปฏิเสธเพื่อนบ้างก็ได้ค่ะ อย่างน้อยก็เพื่อสุขภาพของตัวเองล่ะเนอะ
7. สั่งอาหารมารับประทานมากกว่าที่จะเตรียมมาเอง
แม้ว่าการโทรสั่งอาหารหรือการไปรับประทานอาหารข้างนอกจะสะดวกสำหรับชีวิตคนเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกค่ะว่านั่นเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเหมือนกัน ลองคำนวณดูสิว่าเดือนหนี่งคุณออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านหรือโทรสั่งอาหารกี่ครั้ง แล้วลองคิดเป็นจำนวนเงินคร่าว ๆ คุณก็จะรู้เลยล่ะว่าเงินที่เสียไปน่ะ ถ้าคุณเปลี่ยนมาเตรียมอาหารเองในตอนเช้า หรือเตรียมไว้ตั้งแต่วันหยุดละก็ คุณจะประหยัดเงินได้มากโขเลยล่ะ ดังนั้นถ้าอยากมีเงินเก็บ เปลี่ยนนิสัยนี้ด่วนเลย
8. ใส่ใจในสิ่งที่คนอื่นคิดกับเรามากเกินไป
มันเป็นความจริงแท้แน่นอนว่าคุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ ดังนั้นการที่คุณใช้เวลาในชีวิตของคุณเพื่อทำให้ทุกคนพึงพอใจเป็นเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์เลย แถมยังส่งผลให้คุณเครียดและไม่มีความสุขอีกด้วย ฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจคำพูดของคนอื่นมากนัก ปฏิเสธในสิ่งที่คุณไม่อยากจะทำไปบ้าง หากคุณสามารถทำได้ รับรองว่าทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจจะดีขึ้นแน่นอน
9. คุณคิดว่าความผิดปกติทางจิตใจเป็นเรื่องน่าอายและเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ
หลายคนมักจะคิดว่าความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในจิตใจของตนเองเป็นเรื่องที่น่าอาย แต่ขอบอกเลยว่าความผิดปกตินี้ก็ไม่ต่างจากอาการป่วยหรืออาการบาดเจ็บทางร่างกายหรอกค่ะ หากคุณคิดว่าสิ่งที่ผิดปกตินั้นกำลังคุกคามชีวิตคุณ ควรรีบเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็ไปพบจิตแพทย์ดีกว่าค่ะ เพราะถ้าหากทิ้งไว้นานอาจจะยิ่งทำให้อาการยิ่งเลวร้ายลงนะ
10. ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นชีวิตจิตใจ
การศึกษาแสดงให้เห็นว่า คนที่ดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ มีความเสี่ยงมากที่ความดันโลหิตและและน้ำตาลในเลือดจะสูง รวมทั้งระดับคอเลสเตอรอลที่ผิดปกติ และมีไขมันส่วนเกินที่รอบเอว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นสาเหตุที่สำคัญของโรคหัวใจและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อีกด้วย ถ้าไม่อยากป่วยละก็ ลองเปลี่ยนจากการดื่มน้ำอัดลมมาเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยจะดีกว่า ดีต่อสุขภาพแถมยังไม่ต้องกลัวอ้วนอีกด้วย แต่ถ้าเลิกไม่ได้จริง ๆ ก็ควรจำกัดปริมาณการดื่มต่อวัน หรือต่อสัปดาห์ไปเลยก็น่าจะดีเหมือนกัน
11. ไม่ค่อยติดต่อเพื่อนหรือคนในครอบครัวบ่อยเท่าที่ควร
ยิ่งอายุมากขึ้น เพื่อนและครอบครัวจะมีความสำคัญกับคุณมากขึ้นกว่าที่คุณคิด หากในช่วงวัยรุ่นคุณไม่ค่อยได้ติดต่อกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวเท่าไร เปลี่ยนนิสัยค่ะ ลองใช้เวลาว่าง ๆ ติดต่อกับเพื่อนหรือครอบครัว ไม่จำเป็นต้องไปหาก็ได้ค่ะถ้าไม่สะดวก แค่เพียงโทรศัพท์หา หรือไม่ก็วิดีโอคอลคุยกันสัปดาห์ละครั้ง แค่ให้ได้ติดต่อกันและถามสารทุกข์สุกดิบ เท่านี้ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเพื่อนหรือครอบครัวดีขึ้นแล้วล่ะ
12. ไม่ยอมไปหาหมอ
รู้ค่ะว่าคงมีหลายคนที่กลัวหมอ ไม่ชอบโรงพยาบาล แต่การที่อายุมากขึ้นแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ห่างหมอ เพราะอย่างน้อย ๆ คุณก็ต้องไปตรวจสุขภาพบ้าง คนเราไม่ได้แข็งแรงไปตลอดหรอกค่ะ ฉะนั้นหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี จะได้ดูแลสุขภาพกันได้ถูกวิธี
13. คุณยังสูบบุหรี่
มีการศึกษาจากสถาบัน American Heart Association พบว่าคนที่สูบบุหรี่จะเสียชีวิตเร็วกว่าคนทั่วไปถึง 10 ปี โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็งปอดที่มาจากการสูบบุหรี่ หรือแม้แต่การสูดดมควันบุหรี่ ยิ่งถ้าดื่มแอลกอฮอล์ด้วยจะยิ่งไปกันใหญ่เลยล่ะ ฉะนั้นเลิกสูบบุหรี่ได้ก็เลิกสูบดีกว่าค่ะ
14. นอนตื่นสายในวันสุดสัปดาห์
หลังจากต้องตื่นเช้ามาตลอดทั้งสัปดาห์ การได้นอนตื่นสาย ๆ ในช่วงวันหยุดถือเป็นสวรรค์สำหรับหลาย ๆ คน แต่ถ้าหากตื่นสายมากเกินไปจากฝันดีก็จะกลายเป็นฝันร้ายเอาได้นะคะ
เพราะการศึกษาจาก University of Texas Southwestern Medical Center ได้เปิดเผยให้เราทราบว่า การนอนตื่นสาย ๆ เพราะคิดว่าจะช่วยชดเชยเวลานอนที่ขาดไปได้นั้น ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด แถมยังส่งผลเสียต่อนาฬิกาชีวิตอีกด้วย และจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นเมื่อถึงวันเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ฉะนั้นแทนที่จะนอนให้มากขึ้น ก็เปลี่ยนมาจัดตารางเวลาตัวเองให้ดีขึ้นดีกว่าค่ะ
15. หนีปัญหา
การหนีปัญหาไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เพราะนอกจากจะทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นยังคาราคาซังแล้ว ก็ยังทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจอีกด้วย แค่เพียงคุณเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างกล้าหาญ และพยายามหาทางแก้ไขมากกว่าวิ่งหนี ก็จะช่วยให้ปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายลงได้ แถมยังทำให้คุณโตขึ้นไปขั้นหนึ่งด้วย
16. ทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่คุณรู้ว่าได้มาถึงทางตันแล้ว
ในขณะที่คุณรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของคุณเริ่มไม่โอเค แต่คุณก็ยังพยายามที่จะทนต่อไป รู้หรือเปล่าคะว่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ถึงทางตันแบบนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเราอย่างคาดไม่ถึง
พูดง่าย ๆ ก็คือ การที่คุณปล่อยให้ทุกอย่างคาราคาซังจะยิ่งทำให้คุณเสียใจ และพาลทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าได้ง่าย ๆ เลยเชียว ฉะนั้นอย่าให้ความสัมพันธ์เหล่านั้นมาทำร้ายคุณได้อีก จงสร้างความเข้มแข็งให้ตนเองและตัดสินใจซะ เพื่อที่คุณจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที
17. วาดฝันถึงอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้า แทนที่จะสนใจถึงปัจจุบัน
ชีวิตของคนเราไม่มีวันเป็นไปตามความต้องการของเราเสมอหรอกค่ะ ไม่ว่าคุณจะวางแผนชีวิตอย่างไร สุดท้ายก็จะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ การที่คุณคาดหวังกับอนาคตมากกว่ามองปัจจุบัน อาจจะทำให้คุณรู้สึกเครียดและอาจจะผิดหวังหากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นดั่งใจ แทนที่คุณจะมองไปข้างหน้าในอีก 5-10 ปี คุณควรอยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุดจะดีกว่า เพราะในอนาคตหากคุณมองย้อนกลับมาจะได้ไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตยังไงล่ะ
18. หวาดกลัวกับ "ครั้งแรก"
คนส่วนใหญ่มักจะหวาดกลัวกับคำว่า "ครั้งแรก" และวิตกกังวลถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ก็มักจะเลือกทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ สิ่งเหล่านั้นอาจจะล้มเหลวก็ได้ ฉะนั้นแทนที่จะเลือกทำให้สิ่งที่ยากเป็นครั้งแรก คุณควรมองหาสิ่งเล็ก ๆ ที่คุณสามารถทำให้สำเร็จได้ เพราะนั่นจะช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณได้มากเลยล่ะ จะได้เลิกกลัว แต่ถ้าสิ่งที่คุณจะทำครั้งแรกนั้นยิ่งใหญ่จริง ๆ ละก็ แค่เพียงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามให้มากถึงที่สุด แล้วทุกอย่างจะดีเองค่ะ
เช็กกันแล้วมีพฤติกรรมไหนที่คุณถึงกับต้องอุทานว่า ใช่เลย ! กันบ้างไหมคะ ถ้ามีก็รีบเปลี่ยนเสียนะคะ เวลาไม่เคยคอยท่า ถ้ามัวแต่ช้าก็อาจจะทำให้เสียโอกาสดี ๆ ในชีวิตได้นะ