Refeeding Syndrome กินเยอะ จัดหนักหลังอดอาหารมานาน เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เพราะร่างกายรับไม่ไหว แล้วเราจะเริ่มต้นการกินใหม่อย่างปลอดภัยจากภาวะนี้ได้อย่างไร หลังจากที่ร่างกายเผชิญภาวะอดอาหารหรือขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านภัยพิบัติ การเจ็บป่วย หรือการลดน้ำหนัก การกลับมากินใหม่อีกครั้งดูเหมือนจะเป็นสัญญาณที่ดี แต่มีกับดักที่ต้องระวังอยู่เช่นกัน นั่นก็คือ Refeeding Syndrome แม้จะเกิดไม่บ่อย แต่ภาวะนี้อันตรายถึงชีวิต เพราะการที่ร่างกายได้รับพลังงานอย่างรวดเร็วเกินไป จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอิเล็กโทรไลต์และการเผาผลาญอย่างฉับพลัน วันนี้ลองไปทำความเข้าใจกลไกของ Refeeding Syndrome แบบง่าย ๆ พร้อมตอบคำถามว่า เราจะเริ่มต้นกินใหม่หลังอดอาหารอย่างปลอดภัยได้อย่างไร Refeeding Syndrome คือภาวะที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับสารอาหารอีกครั้งหลังจากอยู่ในภาวะขาดสารอาหารหรืออดอาหารเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อมีการเริ่มให้อาหารในปริมาณมากหรือเร็วเกินไป ภาวะนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับอิเล็กโทรไลต์และของเหลวในร่างกายอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ ลองนึกภาพว่า เมื่อร่างกายขาดอาหารมานาน เซลล์จะเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานด้วยการหยุดใช้คาร์โบไฮเดรต หันไปเผาผลาญไขมันและโปรตีนแทน และลดการผลิตอินซูลินลง แม้แต่แร่ธาตุสำคัญก็ถูกขับออกไปทางปัสสาวะอย่างช้า ๆ แต่เมื่อเริ่มกลับมากินอาหารอีกครั้ง โดยเฉพาะอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ร่างกายจะตื่นตัว อินซูลินถูกหลั่งออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการกับน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น จากนั้นอินซูลินจะบังคับให้เซลล์ดึงเอาแร่ธาตุหลัก ๆ อย่างฟอสเฟต โพแทสเซียม และแมกนีเซียม เข้าไปใช้ภายในเซลล์ทันที ทำให้แร่ธาตุเหล่านี้ในเลือดลดต่ำลงอย่างรวดเร็วแบบฉับพลัน พร้อมกับความผิดปกติของสมดุลน้ำและเกลือ (โซเดียม) ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ทั่วร่างกาย อาการ Refeeding Syndrome อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ภายใน 12-72 ชั่วโมงหลังเริ่มกินใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าขาดแร่ธาตุชนิดไหน เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก มองเห็นภาพซ้อน การกลืนผิดปกติ มีอาการชัก ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร สั่น กล้ามเนื้อกระตุก มีอาการชัก ภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริวกล้ามเนื้อ เหนื่อย อ่อนเพลีย อาการท้องผูกรุนแรง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหายใจล้มเหลว มีอาการเพ้อคลั่ง ปัญหาด้านการมองเห็น ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ มีปัญหาเรื่องการทรงตัวและการประสานงาน ความจำเสื่อม ความดันโลหิตต่ำ อาการกล้ามเนื้อกระตุก อาการบวมน้ำในปอด (มีของเหลวอยู่ในปอด) ภาวะไตทำงานผิดปกติ ภาวะหัวใจล้มเหลว อาการชัก ถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้เลย ภาวะ Refeeding Syndrome มักเกิดขึ้นในผู้ที่อยู่ในภาวะอดอาหารหรือขาดสารอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งรวมถึงกลุ่มเหล่านี้ ผู้ที่อดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก โดยไม่มีการควบคุมดูแลจากแพทย์หรือนักโภชนาการ ผู้ที่อดอาหารหรือได้รับอาหารน้อยมาก (5-10 วันขึ้นไป) ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารยาก เช่น มีปัญหาเรื่องการกลืนลำบาก หรือมีโรคที่ส่งผลต่อการดูดซึม ผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารได้น้อยและขาดสารอาหารติดต่อกัน ผู้ที่ใช้แอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เนื่องจากมักมีภาวะขาดสารอาหารและวิตามิน ผู้ประสบภัยที่ติดอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้เป็นเวลานาน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือการช่วยเหลือเข้าถึงล่าช้า ผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องเข้ารักษาใน ICU นาน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคไต หรือโรคตับเรื้อรัง ที่มีภาวะขาดสารอาหารร่วมด้วย ผู้ป่วยภาวะอะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia Nervosa) ทำให้มีความผิดปกติในการรับประทานอาหารอย่างรุนแรง ผู้ป่วยมะเร็ง หรือทำเคมีบำบัด ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ที่มีระดับอิเล็กโทรไลต์ต่ำอยู่ก่อนแล้ว แม้ภาวะ Refeeding Syndrome จะอันตราย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการเริ่มให้อาหารอย่างถูกวิธี ดังนี้ อย่ารีบกินอาหารในปริมาณมากโดยเด็ดขาด ควรเริ่มกินแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ครั้งละไม่เกินครึ่งจานจากปกติที่เคยกิน หรือในกรณีที่ขาดอาหารมานานหลายวัน แพทย์จะแนะนำว่าไม่ควรกินเกิน 10-20 กิโลแคลอรี/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน แต่หากคนไข้มีภาวะทุพโภชนาการ ให้เริ่มต้นให้สารอาหารไม่เกิน 5 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม/วัน หลังจากเริ่มกินอาหารแล้ว ให้ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณพลังงานและสารอาหารอย่างช้า ๆ ภายใน 4-7 วัน ตามระดับความปลอดภัยของร่างกายและค่าอิเล็กโทรไลต์ในเลือด เนื่องจากระบบย่อยอาหารยังทำงานไม่ได้เต็มที่ จึงควรเลือกกินอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปใส ไข่ต้ม เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หรือเนื้อปลา เป็นต้น สำหรับคนที่เพิ่งฟื้นตัว การกินผักต้องระวังเรื่องใยอาหาร เพราะระบบย่อยอาหารอาจยังทำงานได้ไม่เต็มที่ หากได้รับใยอาหารที่มากเกินไปจะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และไม่สบายท้องได้ ดังนั้นควรเลี่ยงผักดิบ หรือผักที่มีใยอาหารหยาบสูง รวมถึงถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ แล้วหันไปเน้นผักที่ปรุงสุกจนนิ่ม และมีใยอาหารต่ำในช่วง 1-3 วันแรก เช่น ฟักทองต้ม, แครอตต้ม, หรือผักใบเขียวที่ต้มจนเปื่อยนิ่ม ในช่วง 2-3 วันแรกควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินอย่างรวดเร็วและรุนแรง เช่น อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง อย่างขนมหวาน ลูกอม น้ำผลไม้กล่อง น้ำอัดลม ข้าวขาว ขนมปังขาว ขนมขบเคี้ยว อาหารฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารแปรรูปต่าง ๆ ไม่ควรดื่มน้ำในปริมาณมากเกินไปทันที เพื่อป้องกันภาวะคั่งของเหลวที่อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือน้ำท่วมปอด หลายคนเข้าใจว่าเมื่อร่างกายขาดพลังงานต้องดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ควรดื่ม เพราะมักจะมีน้ำตาลสูง ซึ่งจะกระตุ้นอินซูลินและทำให้เกิด Refeeding Syndrome ได้รุนแรงขึ้น สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อ Refeeding Syndrome แพทย์จะให้การดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนี้ เสริมวิตามินบี 1 (ไทอามีน) ให้ร่างกายทันที ก่อนเริ่มหรือระหว่างให้อาหารใหม่ เพื่อช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และป้องกันภาวะสมองอักเสบ ตรวจระดับอิเล็กทรอไลต์ในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ทั้งฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโพแทสเซียม หากพบว่าขาดจะเสริมแร่ธาตุเหล่านี้ในรูปของอาหารเสริมหรือสารละลายทางหลอดเลือด เฝ้าระวังสมดุลของเหลว โดยติดตามน้ำหนักตัวและปริมาณปัสสาวะเข้า-ออก อย่างเคร่งครัด เพื่อประเมินและป้องกันภาวะคั่งของเหลวในร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว ทั้งนี้ ผู้ป่วยก็ต้องหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตัวเองด้วยเช่นกัน หากพบอาการผิดปกติที่บ่งชี้ถึงภาวะ Refeeding Syndrome หรือภาวะคั่งน้ำ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเร็วผิดปกติ, เหนื่อยหอบ, อาการบวมที่แขน ขา หรือใบหน้า ควรรีบแจ้งแพทย์หรือพยาบาลทันที สรุปแล้ว Refeeding Syndrome คือภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในคนที่กลับมากินอาหารอีกครั้งหลังจากขาดสารอาหารเป็นเวลานาน แม้อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วสามารถเกิดได้ในหลายสถานการณ์ ตั้งแต่การอดอาหารรุนแรง ไปจนถึงผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลนาน ๆ สิ่งสำคัญคือการเริ่มกินใหม่อย่างช้า ๆ และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เข้าใจภาวะ Refeeding syndrome อดอาหารมานาน แต่ยังรีบกินไม่ได้ ! 12 โรคที่เกิดจากการขาดสารอาหาร กินน้อยเกินไป อันตรายกว่าที่คิด ! อดอาหารได้มากสุดกี่วัน ร่างกายอดข้าว-ขาดน้ำได้นานแค่ไหนถึงเป็นอันตรายต่อชีวิต ภัยอันตรายจากการอดอาหาร ผอมแล้วป่วยไม่คุ้มกันหรอก เล็บเป็นเส้น ขาดวิตามินอะไร เส้นบนเล็บแบบไหนเสี่ยงมะเร็ง ! ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์ สภาเภสัชกรรม, เฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant, pmc.ncbi.nlm.nih.gov, my.clevelandclinic.org