ไข้เลือดออก โรคที่มียุงเป็นพาหะ หากป่วยแล้วควรต้องดูแลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกให้ถูกวิธี เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
โรคไข้เลือดออกเป็นทั้งโรคที่มียุงเป็นพาหะ
แถมยังเป็นโรคติดต่อที่ระบาดมากในช่วงหน้าฝน
ทำให้มีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง
และหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที
ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกก็สุ่มเสี่ยงอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้เลยนะคะ
ดังนั้นหากคุณหรือคนใกล้ตัวเป็นโรคไข้เลือดออกขึ้นมา
ก็ควรศึกษาวิธีดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออกอย่างถูกวิธีตามนี้ เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้น
อาการไข้เลือดออก สังเกตได้จากตรงไหนถึงเรียกว่าป่วย
โดยปกติแล้วอาการไข้เลือดออกจะคล้าย ๆ อาการไข้หวัดธรรมดาเลยล่ะค่ะ เนื่องจากระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสยาวนานกว่า 2 สัปดาห์กว่าที่ผู้ป่วยจะมีไข้ ทว่าอาการไข้ของผู้ป่วยไข้เลือดออกมักจะไม่มีอาการไอ ไม่มีน้ำมูกร่วมด้วย ดังนั้นเลยมีคนจำนวนไม่น้อยที่ป่วยไข้เลือดออกแล้วไม่รู้ตัว แต่เมื่อใดก็ตามที่อาการป่วยลุกลามถึงขั้นมีเลือดออกผิดปกติในขณะที่มีไข้สูงกว่า 39-40 องศาเซลเซียส อาเจียนมาก ปวดท้อง ปัสสาวะออกน้อย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกมากในช่วงที่ไข้ลด ลักษณะอาการป่วยตามนี้ให้สงสัยไว้ก่อนว่าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก และควรต้องรีบไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กอาการโดยด่วน
อาการไข้เลือดออก สังเกตได้จากตรงไหนถึงเรียกว่าป่วย
โดยปกติแล้วอาการไข้เลือดออกจะคล้าย ๆ อาการไข้หวัดธรรมดาเลยล่ะค่ะ เนื่องจากระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสยาวนานกว่า 2 สัปดาห์กว่าที่ผู้ป่วยจะมีไข้ ทว่าอาการไข้ของผู้ป่วยไข้เลือดออกมักจะไม่มีอาการไอ ไม่มีน้ำมูกร่วมด้วย ดังนั้นเลยมีคนจำนวนไม่น้อยที่ป่วยไข้เลือดออกแล้วไม่รู้ตัว แต่เมื่อใดก็ตามที่อาการป่วยลุกลามถึงขั้นมีเลือดออกผิดปกติในขณะที่มีไข้สูงกว่า 39-40 องศาเซลเซียส อาเจียนมาก ปวดท้อง ปัสสาวะออกน้อย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกมากในช่วงที่ไข้ลด ลักษณะอาการป่วยตามนี้ให้สงสัยไว้ก่อนว่าป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก และควรต้องรีบไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กอาการโดยด่วน
วิธีดูแลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก
- พยายามให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ที่ปลอดยุง ที่พักของผู้ป่วยควรมีมุ้งลวดหรือกางมุ้งป้องกันยุงให้ผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
- ควรให้ผู้ป่วยอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
- ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมาก ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน
- ดื่มน้ำหรือเกลือแร่ให้เพียงพอ โดยสังเกตดูว่า สีปัสสาวะจะเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ หากมีปัสสาวะสีเข้ม ต้องดื่มน้ำเพิ่มขึ้นอีก
- หมั่นเช็ดตัวผู้ป่วยด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยให้ต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส และในกรณีที่มีไข้ ห้ามเช็ดตัวหรืออาบน้ำด้วยน้ำเย็นเด็ดขาด เพราะผู้ป่วยอาจมีอาการสั่นได้
- รับประทานยาลดไข้ด้วยยาพาราเซตามอล ตามขนาดที่แพทย์สั่ง เพราะหากคนไข้รับยาเกินขนาด อาจทำให้เกิดอาการตับอักเสบได้
- ห้ามใช้ยาแอสไพรินและยากลุ่ม NSAIDS (เช่น Ibuprofen, Naproxen) เด็ดขาด เนื่องจากยาทั้ง 2 ตัวที่ว่ามีคุณสมบัติต้านการจับตัวเป็นก้อนของเลือด ซึ่งอาจไปกระตุ้นอาการเลือดออกที่เป็นอาการบ่งชี้ของไข้เลือดออกได้
- ห้ามฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ และงดใช้ยาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยากลุ่มปฏิชีวนะ เนื่องจากเชื้อไวรัสของโรคไข้เลือดออกไม่ใช่เชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นยาปฏิชีวนะจึงไม่จำเป็นกับผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเลย
- รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัด เช่น ข้าวต้ม แกงจืด ซุปผัก เป็นต้น
- ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกไม่ควรรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีแดง ดำ หรือสีน้ำตาล เนื่องจากเวลาปัสสาวะและอุจจาระอาจทำให้สังเกตได้ยากว่าของเสียที่ผู้ป่วยขับถ่ายออกมามีเลือดปนมาด้วยหรือไม่
- ควรหมั่นสังเกตปัสสาวะและอุจจาระของผู้ป่วยว่ามีเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่
ในกรณีที่อาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น ยังคงมีไข้สูงต่อเนื่อง และมีอาการเตือนความรุนแรงของโรคร่วมด้วย ให้รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยด่วน โดยอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล มีดังนี้
- ผู้ป่วยซึมหรืออ่อนเพลียมากขึ้น
- ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารน้อยลง
- รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนตลอดเวลา
- ปวดท้องมาก
- มีเลือดออกผิดปกติ เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือมีเลือดปน
- ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลยภายในระยะ 4-6 ชั่วโมง
- กระหายน้ำตลอดเวลา
- มีพฤติกรรมกระสับกระส่าย หงุดหงิด เอะอะโวยวาย
- คนไข้เด็กอาจร้องกวนตลอดเวลา
- ตัวเย็นชื้น เหงื่อออก สีผิวคล้ำลง ตัวลาย ซึ่งขั้นนี้อาจเริ่มเข้าสู่ระยะช็อก
- แจ้งให้สาธารณสุขในเขตพื้นที่มาฉีดยากันยุง
- พยายามอย่าให้ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกที่กลับมาพักฟื้นที่บ้านโดนยุงกัดภายในระยะเวลา 5 วันแรก เนื่องจากในระยะนี้ผู้ป่วยจะยังคงมีเชื้อไวรัสโรคไข้เลือดออกหลงเหลืออยูในตัว ซึ่งหากโดนยุงกัดอาจทำให้โรคไข้เลือดออกแพร่กระจายสู่คนในบ้านได้
- กำจัดลูกน้ำยุงลายรอบ ๆ บริเวณบ้าน อย่าลืมตรวจสอบภายในบ้านให้ดีนะคะว่า มีถ้วยน้ำรองขาโต๊ะหรือน้ำในแจกันที่ไม่ได้ถ่ายทิ้งบ้างหรือเปล่า
- ติดมุ้งลวดให้แน่นหนา หรืออย่างน้อยควรกางมุ้งกันยุงเวลาจะนอน
- ป้องกันยุงกัดด้วยการทายากันยุง
ขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
โรงพยาบาลวิภาวดี