![อาการเจ็บหน้าอก อาการเจ็บหน้าอก](http://img.kapook.com/u/2015/kantana/2015_8_Health/v1.jpg)
อาการเจ็บหน้าอก อย่าคิดว่าเจ็บนิด ๆ ไม่มีความหมาย หากปล่อยทิ้งไว้จนเป็นหนัก อาจทำให้ถึงขั้นกล้ามเนื้อหัวใจตายได้เลยนะ
โรคหัวใจ โรคอันตรายที่คร่าชีวิตคนมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก หลายคนคิดว่าโรคนี้เป็นภัยเงียบที่แทบจะไม่มีสัญญาณใด ๆ เตือนล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วสัญญาณเหล่านั้นเราสามารถสังเกตได้ง่ายมากเลยเชียวล่ะ อย่างเช่นอาการเจ็บหน้าอก ไม่ต้องถึงกับเจ็บมากจนทนไม่ไหวก็อาจจะเป็นสัญญาณของโรคหัวใจขาดเลือดได้เหมือนกัน อย่างที่นิตยสารหมอชาวบ้าน จะพาไปทำความเข้าใจกับโรคนี้ผ่านตัวอย่างผู้ป่วยเคสหนึ่งที่น่าสนใจกันค่ะ อย่างน้อยแม้เราจะอาจไม่สามารถป้องกันตัวเองจากโรคนี้ได้ 100 % แต่ก็จะสามารถสังเกตอาการเพื่อให้การรักษาทำได้ทันท่วงที ดีกว่าปล่อยให้สายเกินแก้ค่ะ
![อาการเจ็บหน้าอก อาการเจ็บหน้าอก](http://img.kapook.com/u/2015/kantana/2015_8_Health/v2.jpg)
ตัวอย่างผู้ป่วย
ชายไทยวัยกลางคนคนหนึ่งไปที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เมื่อต้นปี 2558 ด้วยอาการเจ็บอกมา 2-3 ชั่วโมง
ในปัจจุบัน ผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่เข้าห้องฉุกเฉินด้วยอาการเจ็บอก มักจะได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วนในระบบ “ทางด่วน” หรือ “fast track” เพื่อการรักษาอย่างเจาะจงที่จะสลายก้อนเลือดที่อุดตันหลอดเลือดหัวใจได้ทันเวลา เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหัวใจตายมากขึ้น จากการขาดเลือดอยู่นาน ถ้าอาการเจ็บอกนั้นเกิดจากอาการเจ็บหัวใจจากการขาดเลือด”
ผู้ป่วยรายนี้จึงได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) และการตรวจเลือดดู cardiac troponin (สารเคมีชนิดหนึ่งที่มักถูกปล่อยออกมาอย่างรวดเร็วสู่กระแสเลือดเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจเริ่มตาย)
คลื่นหัวใจของผู้ป่วยรายนี้ค่อนข้างจะปกติ แต่ cardiac troponin สูงขึ้นเล็กน้อย แพทย์ประจำบ้านห้องฉุกเฉินจึงคิดว่า ผู้ป่วยน่าจะมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute myocardial infarction) จึงปรึกษาแพทย์ประจำบ้านหน่วยโรคหัวใจ ซึ่งก็เห็นด้วย และนำผู้ป่วยไปสวนหัวใจ เพื่อขยาย (balloon) หลอดเลือดหัวใจที่ตีบนั้น แต่การสวนหลอดเลือดหัวใจกลับพบว่า หลอดเลือดหัวใจทุกเส้นปกติดี ไม่มีการตีบหรืออุดตัน
ผู้ป่วยจึงถูกส่งตัวเข้านอนพักดูอาการในหอผู้ป่วย นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4 ที่ได้รับมอบหมายให้ร่วมรับผิดชอบในการดูแลผู้ป่วย จึงได้ซักประวัติและตรวจร่างกายผู้ป่วย และพบว่า ที่ผู้ป่วยบอกว่า ”เจ็บอก” นั้น แท้จริงแล้วเป็นอาการเจ็บที่ท้องส่วนบนในบริเวณที่ชาวบ้านจำนวนมากเรียกว่า “ยอดอก” หรือบริเวณลิ้นปี่ และพบว่าผู้ป่วยมีอาการไม่สบาย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ไม่ถ่ายอุจจาระ และเจ็บในท้องด้วยประมาณ 1-2 วัน ก่อนมาโรงพยาบาล
เมื่อตรวจร่างกายก็พบว่า การกดหน้าท้องของผู้ป่วยจะทำให้ผู้ป่วยเจ็บ และถ้ากดแล้วปล่อยทันทีจะทำให้ผู้ป่วยเจ็บมากขึ้นจนสะดุ้ง (rebound tenderness) จึงรีบแจ้งแพทย์ประจำบ้านศัลยศาสตร์ แล้วผู้ป่วย ก็ถูกนำไปผ่าตัดในเวลาต่อมา และพบว่าเป็น “โรคไส้ติ่งอักเสบ” ที่กำลังจะแตกพอดี
ตัวอย่างผู้ป่วยรายนี้ ทำให้ผู้ที่เป็นแพทย์หรือกำลังจะเป็นแพทย์พึงตระหนักอยู่เสมอว่า ประวัติของการเจ็บป่วยและการตรวจร่างกายให้ละเอียดครบถ้วนทุกระบบมีความสำคัญมากสำหรับการวินิจฉัยโรค ยิ่งกว่าการตรวจทางห้องปฏิบัติมากนัก
![อาการเจ็บหน้าอก อาการเจ็บหน้าอก](http://img.kapook.com/u/2015/kantana/2015_8_Health/v3.jpg)
แพทย์จำนวนมากในปัจจุบันกลับไปสนใจและใส่ใจผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมากกว่า
แต่เป็นที่น่าเสียใจที่ในยุคปัจจุบัน แพทย์จำนวนมากกลับละเลยที่จะซักประวัติและตรวจร่างกายให้ละเอียดครบถ้วน และทักษะ (ความชำนาญ) ในการซักประวัติและตรวจร่างกายได้อย่างถูกต้องครบถ้วน กำลังจะหมดไป เพราะแพทย์จำนวนมากในปัจจุบันกลับไปสนใจกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมากกว่า ดังในกรณีผู้ป่วยข้างต้น ทั้งแพทย์ประจำบ้านห้องฉุกเฉินและแพทย์ประจำบ้านหน่วยโรคหัวใจต่างก็ไปให้ความสำคัญกับผลการตรวจเลือด cardiac troponin (ซึ่งเป็นผลบวกเท็จ false positive) จนเข้าใจผิดว่า ผู้ป่วยเป็น “โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” ในระยะแรก ๆ ที่การสวนหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจจะเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
เคราะห์ดีที่นักศึกษาแพทย์ปีที่ 4 ซึ่งต้องซักประวัติและตรวจร่างกายให้ครบถ้วนทุกระบบเพื่อเขียนรายงานส่งอาจารย์ ได้ประวัติและผลการตรวจที่ถูกต้อง จึงนำไปสู่การวินิจฉัย และการรักษาโรคที่ถูกต้อง ทำให้ผู้ป่วยหายจากการเจ็บป่วย มิฉะนั้นอาจเกิดอาการกำเริบรุนแรงจากภาวะไส้ติ่งแตกจนถึงแก่ชีวิตได้
![](http://img.kapook.com/u/2015/kantana/2015_8_Health/v4.jpg)
ในปัจจุบัน ประชาชนจำนวนมากรวมทั้งแพทย์และพยาบาลจำนวนมากกลัว “โรคหัวใจ” โดยเฉพาะโรคหัวใจที่อาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน (heart attack) ทำให้เวลามีอาการ “เจ็บอก” มักจะคิดว่าเป็นอาการ “เจ็บหัวใจจากการขาดเลือด” (ischemic cardiac pain หรือ ANGINA) จึงมักไปหาแพทย์โรคหัวใจ และแพทย์โรคหัวใจบางคนที “หวังดีแต่ประสงค์ร้าย” มักจะนำผู้ป่วยไปตรวจพิเศษต่าง ๆ นานา แม้กระทั่งการลงเอยด้วยการสวนหัวใจซึ่งการตรวจพิเศษบางอย่าง เช่น การ “วิ่งสายพาน” (TREADMILL EXERCISE) การสวนหัวใจเป็นต้น มีอันตรายถึงชีวิตได้
อาการ “เจ็บอก” อาจจะใช่หรือไม่ใช่ “อาการเจ็บหัวใจจากการขาดเลือด” (อาการ “เจ็บหัวใจฯ”) ก็ได้ โดยทั่วไปคนที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือดเพราะหลอดเลือดหัวใจตีบมักมีอาการ “เจ็บหัวใจฯ” นำมาก่อนเสมอ
อาการ “เจ็บหัวใจฯ” เป็นอาการที่จะวินิจฉัยได้จากประวัติของการเจ็บเป็นสำคัญ เพราะการตรวจร่างกายและการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด) จะเป็นปกติ การตรวจเลือดดูสารเคมีจากหัวใจ (CARDIAC ENZYMES) ทั้งหมดจะปกติ ดังนั้นแพทย์และประชาชนทั่วไปจึงควรรู้จักอาการ “เจ็บหัวใจฯ” ว่าเป็นอย่างไร จะได้ไม่ผิดพลาดดังกรณีตัวอย่างผู้ป่วยข้างต้น
การวินิจฉัยว่า อาการ "เจ็บอก" ที่เป็นอยู่นั้นว่า "น่าจะใช่" หรือ "น่าจะไม่ใช่" อาการ "เจ็บหัวใจฯ" ได้แสดงในตารางต่อไปนี้ ถ้ามีลักษณะ "น่าจะใช่" หลายข้อ และมีลักษณะ "น่าจะไม่ใช่" เลย อาการเจ็บอกดังกล่าวน่าจะใช่อาการ "เจ็บหัวใจฯ"
![](http://img.kapook.com/u/2015/kantana/2015_8_Health/a.jpg)
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่ให้ประวัติได้ไม่ชัดเจน (คนชรา คนสมองเสื่อม ฯลฯ) ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น อาจต้องใช้การตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อยืนยัน อาการ "เจ็บหัวใจ"
เพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงการป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เท่านั้นที่สำคัญ แต่การเรียนรู้ และสังเกตอาการที่ควรจะมีร่วมด้วย เพราะหากเราชะล่าใจว่าตนเองดูแลสุขภาพดีแล้วแต่ละเลยกับอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ สิ่งที่ไม่คาดฝันที่อาจได้รับอาจจะต้องแลกมากับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส ไม่คุ้มกันเลย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
![](http://img.kapook.com/image/Logo/doctor_logo-1.jpg)