แชร์ประสบการณ์วิ่ง เมื่ออดีตสาวที่เคยเกลียดการวิ่งมาก่อน แต่ปัจจุบันกลายเป็นนักกีฬาเดินสายวิ่งมาราธอน จะเพราะอะไร มาดูกันเลย
กีฬาวิ่ง ถือเป็นกีฬาอีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในทุกวันนี้ แถมยังมีหน่วยงานต่าง ๆ จัดวิ่งแข่งมาราธอนแบบไม่เว้นแต่ละวันกันเลยทีเดียว และด้วยความที่กีฬาชนิดนี้กำลังเป็นกระแสและมาแรงมากในชั่วโมงนี้ จึงทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เมื่อก่อนเคยเกลียดการวิ่ง เพราะคิดว่ามันน่าเบื่อ ตัดสินใจลงแข่งวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงเพราะว่าอยากลองเอาชนะตัวเองดูสักตั้ง และแล้วเมื่อเธอได้เริ่มต้นวิ่ง และเอาชนะตัวเองได้ สุดท้ายก็กลับกลายเป็นว่าเธอได้หลงเสน่ห์และรักการวิ่งเข้าอย่างจัง เพราะเธอรู้สึกว่าการวิ่งได้ให้อะไรกับเธอมากมาย
และตั้งแต่นั้นมา เธอก็ได้ลงแข่งวิ่งมาเรื่อย ๆ จาก 10 กิโลเมตร ก็เพิ่มขึ้นทีละนิด ๆ จนล่าสุดเธอสามารถเอาชนะตัวเองด้วยการลงแข่งวิ่งมาราธอน 42.195 กิโลเมตรได้สำเร็จ ซึ่งเรื่องราวและประสบการณ์ของเธอที่พบเจอมาระหว่างการวิ่งแข่งแต่ละรายการจะเป็นอย่างไร และเธอจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง มาติดตามดูเรื่องราวของคุณ MuOnjung สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม คนนี้กันเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ เป็นกระทู้แรกที่เขียนแชร์ประสบการณ์ในการวิ่งจากคนที่เกลียดการวิ่งมาก่อน ผิดพลาดประการใด ขออภัยค่ะ เพื่อเพิ่มบรรยากาศในการอ่าน บางอักษรอาจจะไม่เหมาะสม ไม่ถูกหลักภาษา ตรองอยู่นานเลยค่ะ ว่าจะเขียนดีไหม... เขียนวกไปวนมา... แต่อยากแชร์มากเลยสำหรับคนที่เกลียด ลองมาอ่านดูนะคะ !!! พยายามเขียนอยู่นานค่ะ เอาล่ะเรามาเริ่มกันเลยค่ะ
ก่อนที่จะมาวิ่งก็ออกกำลังด้วยการเวทเทรนนิ่งซะเป็นส่วนมากค่ะ มีบางกิจกรรมกีฬาที่ถนัด เช่น ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานบ้าง แล้วถามว่าทำไมถึงเวท ? ทำไมไม่เน้นกีฬาอื่นเพราะเป็นคนบ้าพลังชอบออกแรงมาแต่ไหนแต่ไร ทำงานก็ชอบใช้พลัง รู้สึกตลกตัวเองเหมือนกันแต่ชอบนะ อีกอย่างด้วยเทรนด์สมัยนี้หันมาออกกำลังกายประเภทเวทเทรนนิ่งกำลังมาแรง ดิฉันจึงหันมาลดน้ำหนักด้วยเวทเทรนนิ่งนี่แหละค่ะ
แต่ทำไมดิฉันจึงเกลียดการวิ่ง ? เพราะเคยเล่นกีฬาโรงเรียนสมัย ม.ต้น ต้องมีซ้อมวิ่งก่อนอันดับแรก หนีประจำเลยค่ะ ดิฉันรู้สึกมีความคิดตอนนั้นว่า จะวิ่งอะไรนักหนา ก็ไปซ้อมกีฬาที่เราเล่นเลยสิ วิ่งน่าเบื่อ สถานที่เดิม ๆ วิ่งทำไม ทำไมต้องวิ่ง ดิฉันรู้สึกสงสัยมากค่ะ แต่แล้วความคิดก็เปลี่ยนเมื่อปลายปีที่แล้ว (2557) อากาศหนาวลมหนาวมาเยือน ว่ายน้ำไม่ไหว ปั่นจักรยานก็กลัวโดนรถสอยไปกิน เข้าฟิตเนสก็ไม่ตื่นเต้น ก็เลยลองเอาสิ่งที่เกลียดมาทำให้มันชอบดูสิ มันจะยากเย็นอะไร ไม่ลองไม่รู้ จากนั้นจึงเริ่มวิ่ง 1 กิโลเมตร ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง คือยืนทำใจเป็นครึ่งชั่วโมง ยืน ๆ ยืด ๆ อยู่นั่นแหละ ไม่สตาร์ทสักที ตั้งเป้า 1 กิโลเมตร ฉันต้องวิ่งให้จบ สุดท้ายก็หอบสิคะ วิ่งไปหอบไป เออ... วิ่งไม่ได้ เดินเอาก็ได้ แต่ต่อมาปัญหาก็เกิดอีก 1-2 กิโลเมตรทุก ๆ วัน เบื่อมากค่ะ สถานที่เดิม ๆ วิ่งวน ๆ น่าเบื่อมากมาย เอาไงดีล่ะ
สุดท้ายเลยตัดสินใจลงงานเลยละกัน 10 กิโลเมตร (เริ่มเข้าศึกษางานวิ่ง สมัครยังไง จ่ายเงินยังไง แพงไหม เพื่อนไม่มีไปคนเดียวก็ได้) ซ้อมมาแค่ 1-2 กิโลเมตรเอง มันน่าตลกเหมือนกันนะ แต่ใจเราก็อยากลองท้าทายตัวเองด้วย เอาไงเอากัน ลง 10 กิโลเมตร ไปเลยลอง ไม่ไหวก็เดิน และแล้วงานแรกของเราก็เกิดค่ะ 10 กิโลเมตรครั้งแรกของเรา...
Thai Sikh Run 2015 วันที่ 25/01/2558 งานแรกของชีวิต
งานแรกตื่นเต้นมากค่ะ นั่งแท็กซี่ (250 กว่าบาท แพงด้วย) มาเพื่อวิ่งตั้งแต่ตี 5 เออ... ฉันบ้าไปไหม ?? เอาล่ะถ้าบ้าคนอื่นก็บ้าเหมือนกัน 5555 วิ่งจบได้ แถมยังได้เหรียญรู้สึกประทับใจและภูมิใจมาก ๆ เลยค่ะ ถึงแม้จะวิ่งช้า วิ่งไปหอบไปก็เถอะแต่สนุกจริง ๆ เจอคนมากมาย ถึงแม้จะมาคนเดียวก็ขอให้คนที่เดินไปเดินมาถ่ายรูปให้ค่ะ ยังไม่รู้ด้วยว่ามีช่างกล้อง หลังจากวิ่งจบ ปัญหาบังเกิด 10 กิโลเมตรแรกของชีวิต เหนื่อย หอบ เจ็บเข่า น่อง ขา เท้าพอง สรุปพักไปเป็นอาทิตย์
ต่อจากนั้นก็ลงงานมาตลอด สนามซ้อมคืองาน 10 กิโลเมตรนี่แหละค่ะ ก็ลงงานไปเรื่อย ๆ ไม่เบื่อ และสนุกด้วย คนเยอะแยะไปหมด มีกำลังใจตลอดเส้นทางวิ่ง สถานที่ใหม่ มีแตงโมที่อร่อยที่สุดในโลกให้กินด้วย แถมยังมีขนมจุบจิบและอาหารให้ทานมากมายอร่อยสุด ๆ เลยค่ะ มื้อหลังวิ่งรู้สึกมีความชอบธรรมในการกินสุด ๆ ค่ะ (ส่วนมากลงงานจะไม่ดูแผนที่ ไปลุ้นเอา รู้แล้วเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น) มาดูงานที่ลง ๆ ค่ะ ความประทับใจมีทุกงานค่ะ
หลังจากงานแรกก็มาต่องานที่ 2
Thaicom 10K 2015 (ไทยคม 10K มินิมาราธอน) วันที่ 08/02/2558 งานนี้ลง 5 กิโลเมตรค่ะ เพราะว่าไม่ค่อยสบาย เป็นหวัดค่ะ ท้องฟ้ายามเช้าสดชื่น ชื่นอกชื่นใจ ดีจริงค่ะ
งานที่ 3 งาน Siam Thai Mini Marathon 2015 วันที่ 22/2/2558
10 กิโลเมตร ไม่ยากอย่างที่คิดนะ "สยามไทย" งานนี้ใกล้บ้านมากดีใจค่าแท็กซี่เสียน้อยหน่อย 555 วิ่งจบได้เหรียญ สบายตัว กลับบ้านได้ นอนหลับสบาย
งานที่ 4 งาน Sikarin Mini Marathon วันที่ 1/03/2558
งานนี้มีเพื่อนแล้วค่ะ เพื่อนเยอะด้วย เป็นเพื่อนกลุ่มออกกำลังกาย Fiteasy ชวนกันมาวิ่งเป็นหมู่คณะสนุกมาก ๆ ค่ะ แต่กว่าจะรวมตัวชวนกันมาได้ก็ยากเย็นอยู่นะคะ
หลังจากงานนี้ก็เริ่มรู้แล้วว่ามีกล้องค่ะ 55555
งานที่ 5 ลง Half Marathon ครั้งแรกในชีวิต 23.5 กิโลเมตร วันที่ 22/03/2558
PatRangsit Mini – half Marathon ครั้งที่ 1
รู้สึกตื่นเต้นมากค่ะงานฮาล์ฟ 21 กิโลเมตร นอนไม่ค่อยจะหลับ ตื่นเต้น กระสับกระส่าย รู้ว่าต้องวิ่งก็ต้องข่มตาให้หลับ หลังจากผ่านงาน 10 กิโลเมตรมา 3 งาน 5 กิโลเมตร มา 1 งาน ก็จัดซะเลย Half Marathon 55555 บ้าไปแล้ว ไม่ได้ศึกษาเตรียมตัวอะไรเลย อยู่ ๆ ก็ลงวิ่งเลยค่ะ ตอนนั้น คิดอย่างเดียว วิ่งเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบ วิ่งไม่ไหวก็เดิน เดินไม่ไหวก็ค่อย ๆ ไป สุดท้ายวิ่ง ๆ เดิน ๆ จนจบ งานนี้วิ่งผ่านทุ่งนา ได้กลิ่นโคลน บรรยากาศลมโชย ชอบมาก ๆ เลยค่ะ หลังจากผ่านงานที่ผ่านมารู้แล้วว่ามีกล้อง ต้องสวย ๆ เข้าไว้ แต่ได้เท่านี้ล่ะค่ะ
รูปนี้ก็เลยจัดแปะฝาบ้านเรียบร้อยเป็นที่ระลึก ขอบคุณพี่ช่างภาพด้วยนะคะ
งานที่ 6 Run for Your Lives Thailand 28/03/2558
วิ่งหนีผี ตะลุยด่าน วิ่งบ้างเดินบ้าง ต้องคอยระวังซอมบี้ งานนี้ไม่ได้จับระยะทางค่ะ ไปกับเพื่อนวิ่งเอาสนุกค่ะ เป็นงานวิ่งที่บัตรราคาค่อนข้างแพงเลยค่ะ
งานที่ 7 Bangkok post international Minimarathon 2015 วันที่ 9/08/2558
ห่าง ๆ ไปหลายเดือนก็ลงงาน Bangkok post international Minimarathon 2015 วิ่งในเมืองหลวง รถเข็นไก่ย่าง ข้างทาง ช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน...
งานที่ 8 งาน KMUTNB walk-run 2015 2 rama bridges วันที่ 23/08/2558
งานวิ่งสองสะพาน อยากลองแต่งแฟนซีวิ่งบ้าง จัดเลยค่ะ วิ่งเป็นหมู่คณะด้วยความสนุกสนานค่ะ วิ่งก็ว่าตัวเองหนักแล้ว ใส่กางเกงแบบนี้ต้านลมสุด ๆ ค่ะ ขอบคุณเจ้าของภาพด้วยนะคะ
งานที่ 9 งานนี้วิ่งเพื่อมะพร้าว งานบ้านแพ้วมินิ-ฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 10 วันที่ 6/09/2558
ฮาล์ฟมาราธอนครั้งที่ 2 ของชีวิต เวลาดีกว่าครั้งแรกมาก อุปสรรคคือเส้นทางสะพานเยอะ แดดมาเร็วและแรง กิโลเมตรที่ 16 เกิดอาการปวดท้อง รีบหาห้องน้ำอย่างด่วน ชาวบ้านใจดีมาก ๆ บอกรีบ ๆ เลยหนู เวลามีคนผ่านไปมา ให้กำลังใจตลอดทางว่าให้สู้ ๆ อีกนิดเดียว ไม่ไกล ต่อมา กิโลเมตรที่ 17 เจ็บข้อเท้า ฝ่าเท้าด้านในเกิดอาการพอง เจ็บเท้ามาตาม ๆ กัน แต่ไม่ถอดใจ เดินเอาก็ได้เดี๋ยวก็ถึงแล้ว พอรู้ว่า อีก 1 กิโลเมตร จะเข้าเส้นชัยแล้วก็รีบสปีดเท่าที่ทำได้... ในที่สุดก็ทำสำเร็จ... แต่วิ่งถึงเส้นชัยแล้วมะพร้าวหมด แอบเสียใจ... ไม่ทันมะพร้าว...
ขอบคุณช่างภาพในงานทุกท่านเลยนะคะ สำหรับภาพสวย ๆ แบบนี้
งานที่ 11 งาน Baxter run for fund 2015 วันที่ 13/09/2558
งานนี้วิ่งที่สวนหลวง ร.9
งานที่ 12 งาน KhaoYai Trail Marathon วันที่ 4/10/2558
งานนี้ Half ครั้งที่ 3 แต่เป็น Half trail เป็นงานวิ่ง trail ครั้งแรกของชีวิต ซัดไป 21 กิโลเมตร โหด สนุก มันส์ ฮา มาก ๆ ชอบมาก ๆ เลย ส่วนตัวเป็นคนต่างจังหวัดบนดอย งานนี้วิ่งไปคิดถึงบ้านไปค่ะ เพื่อน ๆ แอบแซวว่า เส้นทางถนัดเลยใช่ไหม 55555
งานนี้ Half ครั้งที่ 3 แต่เป็น Half trail เป็นงานวิ่ง trail ครั้งแรกของชีวิต ซัดไป 21 กิโลเมตร โหด สนุก มันส์ ฮา มาก ๆ ชอบมาก ๆ เลย ส่วนตัวเป็นคนต่างจังหวัดบนดอย งานนี้วิ่งไปคิดถึงบ้านไปค่ะ เพื่อน ๆ แอบแซวว่า เส้นทางถนัดเลยใช่ไหม 55555
จบด้วยดี กลับบ้านปลอดภัย แอบมีพึ่งพี่เสือแปะ ๆ นวด ๆ นิดหน่อย
งานที่ 13 Mega bangna&Prudential international half marathon วันที่ 1/11/2558
งานที่ 13 Mega bangna&Prudential international half marathon วันที่ 1/11/2558
งานวันนี้จริง ๆ ตั้งใจลง 21 กิโลเมตร แต่ไปไม่ทันเลยได้วิ่ง 10 กิโลเมตรแทน แต่ไม่เป็นไรตั้งใจมาวิ่งแล้ว ทำให้ดีที่สุด ทำได้ดีเท่านี้ หลังฟื้นตัวจากอาการป่วย
งานที่ 14 StandardChartered Bangkok Marathon 2015 วันที่ 15/11/2558
ต่อมาจบที่งาน Full Marathon 42.195 กิโลเมตร เจ็บแต่จบ แต่จบอย่างไร มาชมกันค่ะ วันเสาร์ที่ 14 พ.ย. 2558 มารับเบอร์วิ่งและอื่น ๆ ค่ะ ได้เหรียญมาก่อนด้วย
เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ตื่นเต้นมากค่ะ
วันนี้ก็กินกับนอนให้เพียงพอ นอนตั้งแต่เช้า ตื่นเที่ยงลุกมากินข้าว แล้วนอนต่อตอนบ่าย ตื่นอีกที 5 โมงเย็น นอนต่อไม่ไหวแล้ว เพราะว่านอนมาเยอะ ทำอะไรดีล่ะ เลยกินค่ะ หาของกิน พูดได้ว่ากินอิ่มมากมาย 5555
จิตตกกับเรื่องเท้าพอง มีคนบอกว่าพันไว้จะได้ไม่พอง ก็ลองดูค่ะ
ปล่อยตัวตี 2 แต่แม่เจ้า เราไปถึงเที่ยงคืน ด้วยความตื่นเต้น ถึงไวไปหน่อย 5555 บรรยากาศก่อนงานเริ่ม
ครึกครื้น ครื้นเครง มีวงดนตรีมาร้องรำทำเพลงด้วย คลายความกดดันลงมาหน่อย
เวลาตี 2 ก็มีเสียงแตรดังขึ้น ทุกคนตั้งอกตั้งใจกับการวิ่งของตัวเองมาก ๆ คนเยอะมาก อากาศก็อบอ้าว ร้อนตั้งแต่ยังไม่ปล่อยตัวเลยค่ะ อ้าววววว ลุย ปล่อยตัวออกไปก็วิ่งตามจังหวะของตัวเอง วิ่งตาม pacer 6 ชั่วโมงไปเรื่อย ๆ กิโลเมตรที่ 6-8 ไม่ได้แวะทานน้ำเพราะว่าคนเยอะมาก ๆ ก็เลยวิ่งต่อ ๆ ไป จนถึง กิโลเมตรที่ 10 ไม่ไหว หิวน้ำก็มาจิบไปครึ่งแก้ว กลัวจุก ไม่กล้าจิบเยอะ ก็ยังคงวิ่งช้า ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ จนพบจุดกลับตัว กิโลเมตรที่ 15 ก็ยังวิ่งไหว วิ่งได้เรื่อย ๆ วิ่งต่อกิโลเมตรที่ 20 เย้ ๆๆๆๆ ผ่านมาครึ่งทางแล้ว ปรากฏว่า ตึ้ง !!!!!!!!!!! เกิดอะไรขึ้นกับขาฉัน อยู่ ๆ ก็เหมือนกับว่าเส้นเอ็นเจ็บแปล๊บ ๆ ขึ้นมา ทำไงดีล่ะ หยุดยืดก่อน ผ่านมาครึ่งทางแล้ว จะยอมแพ้ไม่ได้นะ
วิ่งไม่ไหวก็เดินเอาแล้วกัน แต่เจ็บมากมาย ค่อย ๆ ไป จนหลุด pacer ไปไกลแล้ว ใจเราก็เริ่มเสียล่ะ ทำไงดี จบไม่ทันเวลาแน่ ๆ เลย แต่พอมองไปข้างหลัง จะซีเรียสทำไม มีเพื่อนร่วมทางอีกตั้งมากมาย สู้สินะ
ช่วง ณ เวลานั้นคืออยู่บนสะพาน ซึ่งมันไกลสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียวค่ะ รู้สึกทำไมมันไกลแบบนี้ความรู้สึกมันบอกแบบนี้ แต่หลังจากที่ลงสะพานมาก็เจอ ป้าย 30 กิโลเมตรค่ะ
รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเลย ในหัวสมองบอกอีกแค่ 12 กิโลเมตรเอง อีกนิดเดียว แต่ที่ไหนได้ร่างกายฉัน วิ่งไปกิโลเมตรที่ 34 ร่างกายเริ่มล้า
แต่ยังโชคดีที่มีแตงโมน้ำตาลให้กิน (กล้วยตาก กูลเจลที่พกมาหมดเกลี้ยงตั้งแต่อยู่บนสะพาน) แล้วปกติกินเยอะด้วยสิ แต่ตอนนี้ดิฉันบอกเลยว่า ร่างกายล้าสุด ๆ และต่อต้านอาหารเพราะเหนื่อยจนยากที่จะกลืนแล้ว แต่เรายังให้กำลังใจตัวเองค่ะ ตอนนี้ล้าจนไม่สามารถบอกได้เลยว่าล้าขนาดไหน แต่ใจฉันยังสู้ค่ะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว คนอื่นยังวิ่งได้ เราก็ต้องไปต่อได้ ช่วงขณะเดียวกันก็ยังมีความโชคดี เพื่อนนักกีฬาวิ่งยังมีคนคอยช่วยเหลือตลอดทางค่ะ มีคนเอาสเปรย์มาฉีดช่วยบรรเทาอาการปวดล้าได้เยอะเลยค่ะ
ทันใดนั้นดิฉันก็หันไปเจอป้าย 34 กิโลเมตร แต่สมองฉันบอกว่า ทำไมเพิ่งจะ 34 กิโลเมตรเองเหรอ ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่ามันน่าจะใกล้ถึงแล้วนี่นา อีกตั้ง 8 กิโลเมตรแน่ะ หลังจากนั้นร่างกายก็ล้าเกินที่จะเร่งฝีเท้าและควบคุมฝีเท้าไม่ได้เลยค่ะ เอาไงดีล่ะร่างกายไม่ไหวแล้ว แต่เราก็ขอวิ่งต่ออีกหน่อย ดิฉันคิดว่าคนหลัง ๆ ก็รู้สึกเหมือนดิฉันค่ะ อีกไม่นานดิฉันก็วิ่งไปเจอกล้อง...
เอาล่ะ สงสัยใกล้ถึงแล้ว บอกกับตัวเอง เพราะช่วงเวลานั้นดิฉันก็อยากกดดูโทรศัพท์ เนื่องจากดิฉันได้ใช้โปรแกรมบันทึกระยะการวิ่งไว้ แต่น่าเสียดาย !!!! แบตโทรศัพท์หมดค่ะ ไม่รู้ระยะด้วยสิ ร่างกายบอบช้ำมาก อีกอย่างดิฉันก็เพิ่งหายจากการป่วยและผ่าตัดมา ซ้อมน้อยมากค่ะ มันเลยมีอาการแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเดินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เดิน ๆ วิ่ง ๆ สลับไปอีกไม่นานข้อเท้าหัวเข่าดิฉันเริ่มมีอาการบาดเจ็บและแปล๊บ ๆ ขึ้นมาค่ะ เลยตัดสินใจถอดรองเท้าและสกอตเทปที่แปะมาเอาออก และถือเดินจนกระทั่งเจอตากล้องค่ะ ดิฉันดีใจมาก ดิฉันตั้งใจพกธงสีเหลืองมาเพื่อถ่ายรูปขึ้นมาชูให้เห็น แต่ในช่วงที่ชูนั้นดิฉันอธิษฐานจิตไว้ว่า ขอพลังจงบังเกิดให้วิ่งจนจบงานด้วยเถิด ด้วยแรงแห่งพลังศรัทธา "พระประมุขในหลวง" ในหลวงของเรา
ดิฉันกลั้นใจเดินเร็วไปเรื่อย ๆ เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น จนสุดท้ายดิฉันเห็นเส้นชัย ร่างกายเริ่มมีพลังที่จะก้าวฝีเท้าและเพื่อแบกร่างอันเจ็บปวดนี้เข้าเส้นชัย จนสุดท้ายก็มาถึงเส้นชัยด้วยคราบน้ำตาความปลื้มปีติ
อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกค่ะ สุดท้ายก็จบแบบเจ็บ ๆ ภาคภูมิใจ และสุดท้ายก็หันมารักการวิ่งจนทุกวันนี้ ชอบวิ่งเป็นชีวิตหากมีเวลาก็จะออกไปสวนสาธารณะเพื่อไปวิ่งนี่แหละค่ะ
ยังไม่จบค่ะ ดิฉันได้ฉายาจาก "แฟน" ให้มา วิ่งแบบเป็ด ๆ เพราะขาดิฉัน รู้สึกเหมือนฝ่าเท้าจะแบะออก และช่วงเวลาวิ่งเข่าหุบเข้าเป็นบุคลิกของดิฉันค่ะ ลองแก้แล้วไม่หาย แต่ก็ไม่เคยเจ็บหนักและฉันก็วิ่งได้เพราะถนัด ถึงแม้จะท่าไม่สวยก็เถอะ "เป็ดวิ่ง หรือวิ่งเป็ด" แต่จบทุกงานนะคะ ^^
การวิ่งไม่ใช่แค่วิ่งไปข้างหน้า แต่มันคือการอยู่กับตัวเองด้วยความรู้สึกอดทน สมาธิ ความมุ่งมั่น แล้วคุณล่ะลองออกมาวิ่งกันแล้วหรือยัง...
จบแบบสวยงาม พร้อมชัยชนะ หวังว่าหลาย ๆ คนที่ได้อ่านเรื่องราวของเธอคนนี้แล้วจะได้แรงบันดาลใจสำหรับการวิ่งมากขึ้น ทั้งนี้สำหรับใครที่กำลังมองหากีฬาออกกำลังกายสำหรับตัวเองกันอยู่ การออกมาวิ่ง ก็ถือเป็นกีฬาที่น่าลองไม่เลวเลยนะคะ เพราะนอกจากจะสนุก ได้เพื่อนใหม่แล้ว ยังได้สุขภาพดีอีกด้วย ^^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ MuOnjung สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม